เลื่อนเจรจา ‘ทรัมป์’ ทบทวนข้อเสนอใหม่?

เลื่อนเจรจา ‘ทรัมป์’ ทบทวนข้อเสนอใหม่?

เดิมทีวันนี้(23เม.ย.) ทีมไทยแลนด์นำโดย “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีกำหนดเข้าเจรจาการค้ากับสหรัฐ เพื่อต่อรองภาษีตอบโต้(Reciprocal Tariff) ที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศก่อนหน้านี้ว่าจะเรียกเก็บเพิ่มจากสินค้าไทยราว 36% แต่การเจรจาต้องเลื่อนออกไปก่อน โดยให้เหตุผลว่าขอ “รอดูสถานการณ์” เพราะต้องการศึกษาข้อมูลให้รอบคอบไม่อยากไปเจรจาโดยไม่มีการเตรียมตัวให้รอบด้าน

พิชัย บอกว่า เรายังเหลือเวลาอีก 70 วัน คงต้องแบ่งการทำงานออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่อยู่ในสหรัฐ นำโดยเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐรวมกับทีมจากประเทศไทยไปประสานกับฝ่ายสหรัฐ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจน อีกส่วน คือ การทำงานในประเทศไทยระดับบริหารที่ต้องติดตามสถานการณ์ เขาเชื่อว่าหนึ่งในประเด็นที่สหรัฐกังวลและอาจหยิบยกขึ้นหารือ คือ เรื่องค่าเงิน เพราะเมื่อสหรัฐต้องการส่งออกจึงหวังว่าประเทศต่างๆ จะไม่เข้าไปแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้าที่มากจนเกินไป 

ดูแล้วความยากของการเจรจารอบนี้อยู่ที่ “ข้อเสนอ” ที่ยื่นไป ต้องเป็นข้อเสนอที่ “ทรัมป์” ไม่อาจปฏิเสธได้และไทยเราไม่ได้เสียผลประโยชน์มากนัก ...คำถาม คือ แล้วทรัมป์ต้องการอะไร แน่นอนว่าอย่างแรกเลย ทรัมป์ ต้องการทำยังไงก็ได้ที่จะลดการขาดดุลการค้ากับไทยลงจนเหลือศูนย์ได้ยิ่งดี แต่ถ้าไม่ได้อย่างน้อยข้อเสนอของไทยต้องเป็นข้อเสนอที่ทรัมป์หยิบไปคุยกับฐานเสียงของตัวเองได้ว่าพวกคุณกำลังได้ประโยชน์จากการเจรจาของเขาในครั้งนี้

แล้วข้อเสนอของไทยที่เตรียมไปมีอะไรบ้าง? ก่อนหน้านี้รัฐบาลเปรยไว้บ้างแล้วว่ามี “5 ข้อสำคัญ” ที่จะหยิบเข้าสู่วงเจรจา 1.ความร่วมมือในธุรกิจอาหารแปรรูปไทย-สหรัฐ 2.เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ 3.เปิดตลาดและลดอุปสรรคทางการค้า 4.บังคับใช้กฎหมายการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์สินค้าที่ผลิตจากไทยไปยังสหรัฐ และ 5.ส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐเพิ่มขึ้น ด้วยการเพิ่มลงทุนของเอกชนในสหรัฐภายใน 4 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะด้านพลังงาน 
น่าคิดว่าข้อเสนอเหล่านี้จะตรงใจ “ทรัมป์” หรือไม่ ...แต่สำหรับนักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์ของไทยมองว่า “ยังไม่แรงพอ” ที่สำคัญดูแล้วน่าจะช่วยลดการเกินดุลกับสหรัฐได้ไม่มากนัก ซึ่งปัจจุบันไทยเกินดุลสหรัฐสูงถึงปีละ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท ดังนั้นช่วงเวลาของการเจรจาที่ถูกเลื่อนออกไปจึงเปิดทางให้ “รัฐบาล” ได้มีเวลาทบทวนข้อเสนอต่างๆ ที่จะหยิบยื่นให้กับสหรัฐ​ ซึ่งโจทย์ใหญ่ของการเจรจาอยู่ที่สหรัฐต้องได้ดีลที่ดีแต่ไม่ทำให้ไทยเสียประโยชน์จนเกินไป!