การค้าโลกบนทางสองแพร่ง

การค้าโลกได้เข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่ท้าทายมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุคโลกาภิวัตน์ ด้วยการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าที่กลับมาอย่างรุนแรง
ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า และการแบ่งขั้วทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เด่นชัดยิ่งขึ้น โลกไม่ได้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างไร้แรงต้านอีกต่อไป
แต่กำลังต้องเผชิญแรงเสียดทานจากนโยบายชาตินิยมทางเศรษฐกิจ ที่กัดกินความเชื่อมั่นในระบบการค้าพหุภาคี ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังอ่อนแอ
ความตึงเครียดทางนโยบายการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจโดยเฉพาะสหรัฐและจีน ได้กลับมาเป็นวาระใหญ่ของปีนี้
ภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) ถูกนำกลับมาอีกครั้ง สร้างความไม่แน่นอนเชิงนโยบาย ซึ่งกำลังจะเปลี่ยนฉากทัศน์การค้าโลกไปอย่างมาก ทำให้หลายบริษัทต้องชะลอการลงทุน
ขณะที่ภาคบริการที่ไม่ถูกเก็บภาษีโดยตรง แต่ก็ได้รับผลกระทบโดยอ้อมผ่านการลดลงของการค้าในภาคสินค้าจริง
ลักษณะของผลกระทบในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการค้าที่จะลดน้อยในเชิงปริมาณ แต่เป็นสัญญาณของการแตกตัวของระบบการค้าโลก (trade fragmentation) ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
ประเทศต่างๆ เริ่มจัดระเบียบห่วงโซ่อุปทานใหม่ โดยอิงจากความไว้ใจทางการเมืองมากกว่าความได้เปรียบเชิงต้นทุนหรือคุณภาพสินค้า ซึ่งสวนทางกับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การค้าระหว่างประเทศ
บางประเทศหันมาพึ่งพา พันธมิตรมากขึ้น ขณะที่ลดการพึ่งพาประเทศคู่ค้าเดิมที่อาจกลายเป็นศัตรูในอนาคต
ทิศทางการค้าโลกเริ่มเคลื่อนย้ายออกจากโครงสร้างแบบบูรณาการทั่วโลก (global integration) สู่โครงสร้างแบบหลายขั้วที่ขนานกัน (parallel systems) มากขึ้นเรื่อยๆ
ในแง่ของโอกาส บางประเทศกำลังแสวงหาผลประโยชน์จากการ “เบี่ยงเบนทางการค้า” (trade diversion) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อประเทศหนึ่งเปลี่ยนจากการนำเข้าสินค้าจากประเทศที่มีต้นทุนต่ำ (ราคาถูก) ไปนำเข้าจากประเทศอื่นแม้ว่าราคาจะสูงกว่า เพราะไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า
เช่น กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและพัฒนาน้อยที่สุด ที่อาจได้รับอานิสงส์จากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ-จีน
โดยการส่งออกของกลุ่มนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในสินค้าที่จีนเคยครองตลาด แต่ผลดีนี้มีแนวโน้มสั้นและไม่ยั่งยืน หากไม่สามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการผลิตและการส่งออกที่หลากหลายและยืดหยุ่นได้ทัน
การหดตัวของการค้าโลกไม่ได้ส่งผลต่อภาคสินค้าเท่านั้น แต่ยังสะเทือนถึงภาคบริการที่เป็นฟันเฟืองสำคัญของห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศด้วย เช่น การเดินทาง การขนส่ง และบริการดิจิทัล ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ใหม่ของการค้าโลก
ในบริบทที่โลกเปลี่ยนผ่านเช่นนี้ การค้าไม่ได้เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนสินค้า แต่เป็นกระจกสะท้อนภาพของภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยี และการออกแบบอนาคตโลก
การเปลี่ยนผ่านของทิศทางการค้าโลกจึงเป็นมากกว่าคำทำนายตัวเลข GDP หรือดุลการค้า แต่เป็นคำถามที่ใหญ่กว่าว่า โลกจะรวมตัวเพื่อสร้างระบบการค้าที่มีความยืดหยุ่น ยั่งยืน และเป็นธรรมได้อีกหรือไม่ ท่ามกลางกระแสย้อนศรที่ทรงพลังครั้งนี้
สิ่งที่ทั่วโลกต้องเผชิญร่วมกันในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า คือการปรับสมดุลระหว่างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในประเทศกับความร่วมมือข้ามพรมแดน
ในบริบทที่เทคโนโลยีปฏิวัติรูปแบบการผลิต และความต้องการผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากประเทศต่างๆ เลือกที่จะปิดกั้นตนเองจากโอกาสภายนอก
การค้าโลกอาจเข้าสู่ยุคแห่ง “การก้าวถอยหลัง” ทั้งในเชิงการลดลงของการค้า และรวมถึงการเสื่อมถอยของความร่วมมือและความเชื่อมั่นต่อการค้าระหว่างกัน
ในขณะเดียวกัน ประเทศจำเป็นต้องตั้งคำถามใหม่ว่า “ความสามารถในการแข่งขัน” หมายถึงอะไรในโลกที่ไม่แน่นอนเช่นนี้ ไม่ใช่แค่ราคาที่ต่ำหรือกำลังการผลิตที่สูงอีกต่อไป
แต่รวมถึงความสามารถในการปรับตัว สร้างมูลค่าผ่านนวัตกรรม และเชื่อมโยงกับโลกผ่านวิธีที่มีความยืดหยุ่นและยั่งยืนมากกว่าเดิม
ประเทศไทยเองจำเป็นต้องปรับบทบาทจากผู้ตาม มาเป็นผู้กำหนดทิศทางการพัฒนาอย่างมียุทธศาสตร์ ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการค้าที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
การพึ่งพาตลาดเดิมและห่วงโซ่อุปทานแบบเดิมไม่เพียงพออีกต่อไป การเร่งกระจายตลาด ส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง โดยเฉพาะเศรษฐกิจบริการและดิจิทัล เพิ่มความยืดหยุ่นของระบบการผลิตให้ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว
ตลอดจนปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการค้าและนวัตกรรม รวมถึงการลงทุนในทุนมนุษย์ พัฒนาแรงงานให้พร้อมสำหรับโลกยุคใหม่ที่ความสามารถในการเรียนรู้และปรับตัวมีค่ายิ่งกว่าทุนทางกายภาพ
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้เอง การค้าโลกกำลังยืนอยู่บนทางสองแพร่ง ระหว่างการหดตัวที่นำไปสู่โลกที่แยกส่วน เต็มไปด้วยข้อจำกัดและความไม่ไว้วางใจ หรือการพลิกกลับสู่เส้นทางของการสร้างระบบการค้าที่ยืดหยุ่น เปิดกว้าง และเป็นธรรมมากขึ้น
การเลือกเดินในแต่ละทางจะไม่ได้เป็นเพียงการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศเท่านั้น แต่จะเป็นการกำหนดรูปแบบใหม่ของความเป็นไปได้ในศตวรรษที่ 21 ที่ซึ่งการค้าไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่คืออนาคตร่วมกันของโลกทั้งใบ.