กำแพงภาษีสหรัฐ 36% บทพิสูจน์ทีมเจรจารัฐบาล

กำแพงภาษีสหรัฐ 36% บทพิสูจน์ทีมเจรจารัฐบาล

การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทยเพิ่มอีก 36% จากสหรัฐ ถือเป็นความท้าทายครั้งสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในภาวะที่การส่งออกกำลังฟื้นตัวอย่างเปราะบาง

ผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวไม่เพียงกระทบต่อผู้ส่งออกรายใหญ่ แต่ยังลุกลามถึงห่วงโซ่อุปทานทั้งระบบ ตั้งแต่ผู้ผลิตวัตถุดิบ ผู้รับจ้างผลิต ไปจนถึงแรงงานในภาคการผลิตที่เกี่ยวข้อง การเร่งเจรจาเพื่อหาทางออกจึงเป็นภารกิจเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ

รัฐบาลได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการแก้ปัญหาด้วยการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ ประกอบด้วยผู้แทนจากกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเจรจากับสหรัฐในวันที่ 23 เม.ย.2568 โดยมี พิชัย ชุนหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าคณะเจรจา

ซึ่งมีแนวทางที่ชัดเจนในการเสนอมาตรการที่จะสร้างสมดุลการค้าระหว่าง 2 ประเทศภายใน 10 ปี และในช่วง 5 ปี จะลดการได้ดุลการค้าไทยลง 50%
   

แม้การเจรจาจะเป็นบทบาทหลักของภาครัฐ แต่วิกฤติครั้งนี้เรียกร้องความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเอกชนที่ต้องเร่งปรับตัวและยกระดับมาตรฐานการผลิตให้สอดคล้องกับข้อเรียกร้องของตลาดโลก ซึ่งภาคเอกชนควรรวบรวมข้อมูลผลกระทบที่เป็นรูปธรรมและนำเสนอแนวทางที่เป็นไปได้ในการปรับตัว สถาบันการศึกษาและหน่วยงานวิจัยควรเร่งวิเคราะห์และเสนอทางออกในเชิงนโยบายที่จะช่วยบรรเทาผลกระทบในระยะสั้นและเสริมสร้างความเข้มแข็งในระยะยาว
   

บทเรียนจากวิกฤติครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังมีความเปราะบางต่อปัจจัยภายนอก และการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไปย่อมนำมาซึ่งความเสี่ยง การกระจายความเสี่ยงด้วยการขยายตลาดไปยังภูมิภาคอื่น โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ในเอเชียและแอฟริกา จึงเป็นยุทธศาสตร์ที่ควรเร่งดำเนินการควบคู่ไปกับการเจรจา ขณะเดียวกัน การยกระดับมูลค่าสินค้าไทยผ่านนวัตกรรมและการสร้างแบรนด์ จะช่วยลดการแข่งขันด้านราคาและสร้างความแข็งแกร่งในระยะยาว
   

วิกฤติภาษีนำเข้าครั้งนี้ แม้จะเป็นความท้าทาย แต่หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง ย่อมเป็นโอกาสในการปฏิรูปและยกระดับเศรษฐกิจไทยให้มีความยั่งยืนมากขึ้น การรับมือกับปัญหาอย่างมีวิสัยทัศน์และบูรณาการ จะช่วยให้ประเทศไทยไม่เพียงผ่านพ้นอุปสรรคในครั้งนี้ แต่ยังสามารถเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทายของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ที่จะต้องรับมือวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้