เศรษฐกิจไทย ต้องปฏิรูปเพื่อให้อยู่รอดภาษี 36%

เศรษฐกิจไทย ต้องปฏิรูปเพื่อให้อยู่รอดภาษี 36%

90 วันที่เป็นช่วงเจรจา หลายคนคิดแต่ว่าประเทศไทยจะต่อรองได้หรือไม่ ได้เท่าไร จนลืมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมีมากกว่านั้นมาก

ภาษีเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระเบียบการค้าโลกใหม่ที่จะเต็มไปด้วยการกีดกันทางการค้าและการใช้อิทธิพลการเมืองกําหนดทิศทางการค้าโลก

คําถามคือประเทศไทยจะอยู่ได้หรือไม่ในโลกที่ยากขึ้น เพราะเศรษฐกิจเราก็อ่อนแออยู่แล้ว คําตอบคือต้องปฏิรูปเศรษฐกิจ เพื่อให้ประเทศเข้มแข็งขึ้น ให้อยู่รอดและไม่ถูกเอาเปรียบ นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้

สําหรับประเทศไทย ภาษีทรัมป์ 36% คือแผ่นดินไหวระลอกสองที่สั่นคลอนพื้นฐานประเทศ นั้นคือ ภาคส่งออก ที่เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจมาช้านาน ปี 2565 ภาคส่งออกมีสัดส่วน 65.8% ของจีดีพี ชี้ถึงโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งการส่งออกและการท่องเที่ยวมาก

และสิ่งที่ทรัมป์และระเบียบการค้าใหม่ต้องการไม่ใช่แค่เก็บภาษีสินค้านําเข้าจากประเทศไทยมากขึ้น แต่ต้องการให้ประเทศไทยเปิดตลาดการค้าและซื้อสินค้าจากสหรัฐและมิตรประเทศสหรัฐมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด

ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยได้ประโยชน์จากโมเดลการส่งออกสินค้าต้นทุนตํ่าไปขายในตลาดที่ปลอดหรือลดภาษีให้เพื่อช่วยการพัฒนาประเทศ เช่น ตลาดสหรัฐ

และไทยก็ตั้งกำแพงภาษีสูงและใช้มาตรการจำกัดสินค้านําเข้าปกป้องผู้ผลิตในประเทศจากการแข่งขัน เช่น รถยนต์ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น และไทยได้ประโยชน์ เกินดุลการค้ากับประเทศคู่ค้ารายใหญ่ เช่น สหรัฐ

ต่อมาหลายประเทศก็ใช้โมเดลนี้ ส่งออกสินค้าไปสหรัฐในต้นทุนที่ตํ่ากว่าไทย เช่น เวียดนาม ขณะที่ประเทศไทยไม่ยกระดับตัวเองผลิตสินค้ามูลค่าสูงขึ้น ไม่ลงทุนในเทคโนโลยี ไม่มีนวัตกรรม ไม่สร้างสินค้าส่งออกใหม่ๆ

ผลคือความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลง และการส่งออกชะลออย่างที่เห็น

ดังนั้น ไม่ว่าทีมเจรจาของไทยจะกลับมาด้วยเงื่อนไขอะไรจากสหรัฐ เราต้องไม่ตําหนิวิจารณ์หรือโห่ร้องดีใจ เพราะในที่สุดทุกอย่างจะยากมากขึ้นสําหรับประเทศไทย

 พูดตรงๆ ก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นกําลังบังคับให้ทุกประเทศต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดในระเบียบการค้าใหม่ ที่ไม่ใช่การค้าเสรีหรือโลกาภิวัตน์หรือขับเคลื่อนด้วยประสิทธิภาพ

แต่เป็นการค้าที่ไม่เสรี ขับเคลื่อนด้วยภูมิรัฐศาสตร์ ความมั่นคง ผลต่อสิ่งแวดล้อม และการเลือกข้างทางดิจิทัลเทคโนโลยี

โดยใช้ภาษี มาตรการกีดกันทางการค้า และอิทธิพลทางการเมืองเป็นเครื่องมือ ทั้งหมดกระทบโครงสร้างและห่วงโซ่อุปทานการค้าที่โลกมีอยู่ขณะนี้

คําถามคือประเทศไทยเข้มแข็งพอหรือไม่ทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง ที่จะปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงที่กําลังเกิดขึ้น

จากที่ประเทศเรามีความอ่อนแอมากหลายด้าน ทั้งผลิตภาพที่ตํ่า ตลาดแรงงานไม่คล่องตัว นวัตกรรมในภาคธุรกิจอ่อนแอ สังคมสูงวัย ความเหลื่อมล้ำที่สูงและการเมืองไร้เสถียรภาพ สิ่งเหล่านี้จะยิ่งเป็นข้อจำกัดต่อเศรษฐกิจถ้าฐานหลักของเราคือภาคส่งออกถูกดิสรัป

เพื่อให้อยู่รอด ประเทศไทยจึงไม่มีทางเลือกอื่นต้องปฏิรูปเศรษฐกิจ และต้องปฏิรูปขนานใหญ่เพื่อให้เศรษฐกิจเข้มแข็งขึ้นและประเทศอยู่รอด

ตรงกันข้าม ถ้าเราไม่ทําอะไร นิ่งเฉยไม่ปฏิรูป ประเทศก็จะยิ่งอ่อนแอทั้งในการเมืองระหว่างประเทศและเศรษฐกิจ และจะถูกเอาเปรียบโดยประเทศที่เข้มแข็งกว่าในที่สุด

นี่คือ สิ่งที่ประวัติศาสตร์สอนไว้ คือ ชาติเข้มแข็งจะทําตามอำเภอใจ ชาติอ่อนแอจะต้องทนทุกข์ (The strong will do what they will, the weak will suffer what they must)

เราต้องตระหนักเรื่องนี้ เพราะประเทศเราไม่เข้มแข็ง ไม่รํ่ารวย ไม่เหมือนสิงคโปร์ ที่นายกรัฐมนตรีออกทีวีเตือนประชาชนและกล้าวิจารณ์นโยบายทรัมป์

ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งปฏิรูปเศรษฐกิจ และต้องทําทันทีสามเรื่อง

1.เปิดเสรีระบบเศรษฐกิจเพื่อระดมพลังทางเศรษฐกิจที่ประเทศมี มาตั้งรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นให้ประเทศสามารถยืนและอยู่ได้ด้วยตนเองมากขึ้น

เริ่มที่ระบบศุลกากรที่เป็นประเด็นกับรัฐบาลสหรัฐขณะนี้ คือ ภาษี มาตรการกีดกันทางการค้า และ กระบวนการในระบบราชการ ทั้งหมดได้มุ่งปกป้องการค้าและผู้ผลิตในประเทศจนภาคอุตสาหกรรมไม่ปรับตัว ทำให้ประเทศเสียโอกาส

ภาษีนําเข้าของไทยอัตราเฉลี่ย 9% สูงกว่าสหรัฐที่เฉลี่ย 3-4% แต่อัตราของเราแตกต่างมากระหว่างกลุ่มสินค้า เช่น เกษตรและอาหาร 40-60% รถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ 20-30%

สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องจักรอุตสาหกรรมเสียภาษีในอัตราที่สูง ภาษีที่สูงทําลายการแข่งขัน ปกป้องอุตสาหกรรมที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่เอื้อให้ภาคธุรกิจลงทุน และเพิ่มต้นทุนให้กับการผลิตขั้นปลายนํ้า 

นอกจากนี้ ข้อมูลธนาคารโลกชี้ว่า 31.1% ของสินค้าที่ประเทศไทยนําเข้าเจอมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี ครอบคลุมถึง 29.6% ของประเภทสินค้าที่ไทยนำเข้า

มาตรการกีดกันก็เช่นใบอนุญาตนำเข้าหรือกระบวนการรับรองสินค้า มาตรฐานสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (SPS) ข้อบังคับที่ต้องใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ และข้อกําหนดทางเทคนิค

ทั้งหมดมีผลต่อความสามารถในการแข่งขัน และไม่ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ การปฏิรูปคือการยอมที่จะปรับปรุงสิ่งเหล่านี้ทั้งระบบ โดยเฉพาะสินค้าขั้นกลางและสินค้าทุน ปรับกระบวนการศุลกากรตามมาตรฐานสากล ใช้ระบบดิจิทัลและลดการใช้ดุลยพินิจ

2.ปฏิรูปเพื่อยกระดับภาคอุตสาหกรรม โดยสร้างแรงจูงใจให้มีการลงทุนไปสู่อุตสาหกรรมไฮเทค นวัตกรรม การวิจัยค้นคว้า การใช้ดิจิทัลเทคโนโลยี อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และพัฒนาแบรนด์ไทยที่เเข่งขันได้ในตลาดโลก

สนับสนุนด้วยการปฏิรูประบบการศึกษาและพัฒนาทักษะแรงงานโดยเฉพาะ ภาษาอังกฤษ ดิจิทัล การวิเคราะห์ และ เศรษฐกิจสีเขียว เพื่อสร้างแรงงานที่ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรม

พัฒนาห่วงโซ่อุปทานในประเทศที่เชื่อมถึงภาคเกษตรและเอสเอ็มอี เพื่อลดพึ่งพาการนําเข้า เปิดการเข้าถึงแหล่งทุน ดิจิทัลเทคโนโลยี และตลาดโลกให้กับธุรกิจทุกระดับ

3.ปฏิรูประบบงานราชการ กฎระเบียบและธรรมาภิบาล ด้วยการลดกฎระเบียบและขั้นตอนการทํางานของราชการ ใช้ระบบดิจิทัล เน้นความโปร่งใส ความรับผิดรับชอบในหน้าที่ ลดการใช้ดุลยพินิจ ลดการทุจริตคอร์รัปชัน

ภาคการคลังก็สนับสนุนการปฏิรูปด้วยการลงทุนมากขึ้นในระบบการศึกษา ลดการแจกเงินแบบทั่วไป และหันมาโฟกัสผู้ยากไร้เป็นกลุ่มเป้าหมายแทน

นี่คือสิ่งที่ต้องทํา และนี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่เศรษฐกิจไทยจะสามารถเงยหัวขึ้น ท่ามกลางความตกตํ่าและความท้าทายที่กําลังมีมากขึ้น ภาษีทรัมป์จึงเหมือนนาฬิกาปลุกที่บอกเราว่าประเทศไทยต้องเปลี่ยนต้องปฏิรูป.

เศรษฐกิจไทย ต้องปฏิรูปเพื่อให้อยู่รอดภาษี 36%

คอลัมน์ เศรษฐศาสตร์บัณฑิต

ดร.บัณฑิต นิจถาวร

ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

[email protected]