คำสัญญาโดนัลด์ ทรัมป์ “ยุคขาลงอเมริกาสิ้นสุดแล้ว”

คำสัญญาโดนัลด์ ทรัมป์ “ยุคขาลงอเมริกาสิ้นสุดแล้ว”

นับเป็นเวลาเกือบ 3 เดือน ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2568 ตามเวลาในไทย การเข้ารับตำแหน่งครั้งนี้ถูกจับจากทั่วโลกเมื่อทรัมป์กล่าวคำปราศรัยแรกหลังขึ้นเป็นประธานาธิบดี ทรัมป์ประกาศชัดเจนว่า “ยุคขาลงของอเมริกาได้สิ้นสุดลงแล้ว” และจะเป็นผู้นำยุคทองของอเมริกา เป็นการประกาศต่อหน้าชาวอเมริกันและแขกต่างชาติจากหลายประเทศที่เข้าร่วมพิธีสาบานตน

คำปราศรัยของทรัมป์ระบุถึงภาษีศุลกากรเพียงกว้างๆ แค่จะเก็บภาษี และภาษีศุลกากรจากต่างประเทศเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้พลเรือนอเมริกัน โดยไม่ได้ระบุว่าจะลงนามคำสั่งบริหารในเรื่องนี้วันแรกที่เข้าทำงาน แต่หลังจากนั้นทรัมป์ทำตามสัญญาที่หาเสียงไว้ด้วยการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจาก 3 ประเทศ คือ แคนาดา เม็กซิโกและจีน รวมถึงประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมอัตรา 25% และประกาศ Reciprocal Tariff รายประเทศเมื่อวันที่ 2 เม.ย.2568 ที่สะเทือนไปทั้งโลก

การประกาศ Reciprocal Tariff ส่งผลให้มีการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นจากหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยที่ถูกจัดเก็บเพิ่มขึ้น 36% ถือว่าเหนือความคาดหมายของภาครัฐและภาคเอกชนไทยที่ประเมินว่าจะถูกจัดเก็บภาษีเพิ่มในอัตรา 10% เศษ แม้ภายหลังสหรัฐจะเลื่อนการบังคับใช้อัตราภาษีใหม่กับประเทศที่ไม่ตอบโต้สหรัฐรวมถึงประเทศไทย 90 วัน แต่ยังคงเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีความชัดเจนว่าในระยะเวลา 90 วัน ประเทศไทยจะเจรจาได้ผลสัมฤทธิ์มากน้อยเพียงใด

รัฐบาลไทยใช้กลยุทธ์ไม่ผลีผลามไปเจรจากับสหรัฐหลังจากประเมินแล้วการลดภาษีให้สหรัฐไม่ใช่ปลายทางที่สหรัฐต้องการ โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกมาเปิดเผยว่าสหรัฐตอบรับที่จะเจรจากับประเทศไทยในวันที่ 23 เม.ย.2568 ซึ่งมีนายพิชัย ชุนหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าคณะทีมไทยแลนด์ เดินทางไปเยือนสหรัฐเพื่อยื่นข้อเสนอของประเทศไทยที่มีเป้าหมายลดการได้ดุลการค้าลง 50% ภายใน 5 ปี และสร้างสมดุลการค้ากับสหรัฐภายใน 10 ปี

ผลลัพธ์ของการเจรจากับสหรัฐครั้งนี้เป็นสิ่งที่คาดเดาได้ลำบาก โดยสหรัฐอาจจะยอมลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทย หรือสหรัฐเดินหน้าบังคับใช้อัตราภาษีใหม่กับประเทศไทยเมื่อพ้น 90 วัน แต่สิ่งที่รัฐบาลจะต้องมองให้ขาดว่าการรับมือสงครามการค้าครั้งนี้เป็นเกมระยะยาว เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเห็นจุดเปราะบางของเครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยทั้งการส่งออก การลงทุนและการท่องเที่ยว ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลควรมองการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างจริงจัง