ไทยจะรอดแบบ Win-Win ดุลการค้าดีทั้งสหรัฐ-ไทย??

ไทยจะรอดแบบ Win-Win ดุลการค้าดีทั้งสหรัฐ-ไทย??

นาทีนี้ผู้นำทุกประเทศทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ “Reciprocal Tariff” ที่ประธานาธิบดีสหรัฐ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศเมื่อวันที่ 2 เม.ย.2568  ขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐ ต่างทยอยขอเข้าเจรจากับสหรัฐ ซึ่งได้มีการรับนัดหารือแล้ว 50 ประเทศ รวมถึงไทย ที่ต้องหามาตรการรับมือนโยบายการค้าที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจแต่ละประเทศ

ผู้นำประเทศสิงคโปร์ “ลอว์เรนซ์ หว่อง” นายกรัฐมนตรี ออกมาเตือนให้คนในประเทศให้พร้อมรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น คือความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลกที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วง พร้อมระบุว่าให้ เตรียมพร้อมทางจิตใจ ไม่ประมาท ถ้าคนในประเทศสามัคคีกันสิงคโปร์จะยืนหยัดอยู่บนโลกที่วุ่นวายใบนี้ได้ 

ขณะที่นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของ มาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน กล่าวผ่านคลิปวีดิโอเผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดียเมื่อกลางดึกวันที่ 6 เม.ย.ว่า “มาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน จะเป็นผู้นำความพยายามแสดงให้เห็นความเป็นเอกภาพของภูมิภาค รักษาห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นเปิดกว้าง และทำให้เชื่อมั่นได้ว่าเสียงร่วมกันของอาเซียนจะถูกรับฟังอย่างชัดเจนและหนักแน่นในเวทีระหว่างประเทศ”

       ผู้นำมาเลเซีย ยังได้กล่าวในบรรยายสรุปกับข้าราชการเมื่อวันที่ 7 เม.ย.ว่า ตอนนี้โลกกำลังอยู่ในยุคที่ต้องตัดสินใจทางการเมืองและเศรษฐกิจ“เราควรยืนหยัดในฐานะกลุ่มใหญ่ อาเซียนมีประชากร 640 ล้านคนความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับชั้นนำของโลกเมื่อรวมเข้าด้วยกันถือเป็นภูมิภาคที่สงบมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเป็นภูมิภาคที่ขับเคลื่อนการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและน่าเชื่อถือทั่วโลกด้วย” 

      ความเคลื่อนไหวในการรับมือ “Reciprocal Tariff"สหรัฐในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนที่น่าสนใจวันนี้ (10 เม.ย.) จะมีการประชุมรัฐมนตรีการค้าของสมาชิกอาเซียน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียนประชุมวันที่ 10-11 เม.ย.คงต้องรอลุ้นว่าอาเซียนจะมีมาตรการรับมือท่าที “Reciprocal Tariff”อย่างไรขณะที่ reuters รายงานว่าผู้นำระดับสูงของจีนมีแผนจะ “จัดการประชุมระดับสูง” อย่างเร็วที่สุดภายในวันพุธนี้ เพื่อหารือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดทุน

     ในส่วนของประเทศไทยนั้นนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” ได้ตั้ง “คณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐ” มีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน เพื่อกำหนดแนวทางรับมืออย่างรอบด้านยุทธศาสตร์ระยะยาว เน้นปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อเสริมความสามารถการแข่งขันของประเทศ และการเปิดตลาดใหม่ให้สินค้าและบริการของไทยเพื่อลดพึ่งตลาดเดิม โดยนายกรัฐมนตรีย้ำว่า “สิ่งสำคัญสุดคือ การวางยุทธศาสตร์และมาตรการอยู่บนหลักการรู้เขาและรู้เรา” เพื่อตัดสินใจบนข้อมูลถูกต้องรอบด้าน ต่อจากนี้ต้องหาแนวทางให้เกิดสมดุลทางการค้า  บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่าแบบ Win-Win คำถามคือว่าการเจรจาที่ “ ดีทั้งสหรัฐและไทย”จะเกิดขึ้นได้จริง การรับมือที่ดีภาครัฐ เอกชนต้องทำงานร่วมกัน อุตสาหกรรมที่จะกระทบต้องปรับตัวอย่างไรเพื่อกำหนดข้อเสนอที่ “มหัศจรรย์” ที่ Win-Win ให้เป็นจริง