รับมือวิกฤติเศรษฐกิจ'ถดถอยทั่วโลก'

ความผันผวนอย่างรุนแรงในตลาดหุ้นโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ที่กำลังเผชิญการขึ้นลงอย่างรวดเร็วภายในสัปดาห์เดียวกัน สะท้อนถึงความกังวลอย่างลึกซึ้งของนักลงทุนต่อทิศทางเศรษฐกิจ
จากสถานการณ์ที่เคยต่อสู้กับ “เงินเฟ้อ” มายาวนาน บัดนี้โลกกำลังเผชิญความเสี่ยงของ “ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ” ที่กำลังคืบคลานเข้ามา ประเด็นที่น่าสนใจ คือแม้แต่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เอง ผู้ซึ่งมักแสดงความมั่นใจในนโยบายเศรษฐกิจของตัวเอง ก็ไม่ได้พูดถึงความเสี่ยงนี้อย่างตรงไปตรงมา
แต่ตลาดทุนและผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจทั่วโลก กำลังส่งสัญญาณเตือนถึงความเป็นไปได้ที่สูงขึ้น สัญญาณเตือนเหล่านี้ไม่ได้มาลอยๆ แต่มีที่มาจากปัจจัยที่เป็นรูปธรรม ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจหลายตัวของสหรัฐฯ เริ่มอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขการจ้างงาน การลงทุนภาคเอกชน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง นักวิชาการด้านการเงินของไทยเอง ยังให้ความเห็นว่า ความผันผวนในตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกจากนโยบายของทรัมป์จะทำให้ไม่มีใครรอด ไม่เว้นแม้แต่สหรัฐเอง
นโยบายภาษีศุลกากรที่แข็งกร้าวโดยรัฐบาลทรัมป์ เพิ่มความไม่แน่นอนให้ระบบการค้าโลก โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าอย่าง “จีน” ที่ใช้มาตรการตอบโต้ไปแล้ว จีนเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐบางรายการเพิ่มอีก 15% หรืออย่าง “แคนาดา” จะดำเนินมาตรการตอบโต้กลับสหรัฐด้วยการเรียกเก็บภาษีในอัตราเท่ากัน สิ่งเหล่านี้ กำลังส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างรุนแรง และอาจเป็นชนวนให้เกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจได้ในที่สุด
ผลกระทบจากภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯ จะได้จำกัดอยู่เพียงแค่ภายในประเทศเท่านั้น แต่กระทบเป็นลูกโซ่ไปทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ อย่างมาก รวมถึงไทย สิงคโปร์ เวียดนาม และประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ประเทศกำลังพัฒนาจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากการเข้าถึงเงินทุนจะยากขึ้น ต้นทุนการกู้ยืมจะสูงขึ้น และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจะลดลง ภาวะเศรษฐกิจถดถอยยังอาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางการเมืองและสังคมในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีความเปราะบางทางเศรษฐกิจอยู่แล้ว
แล้วเราควรรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร ประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย การเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นสิ่งสำคัญ รัฐบาลควรมีนโยบายการคลังที่ยืดหยุ่น พร้อมใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยามจำเป็น รักษาวินัยการเงินการคลัง ไม่ว่าเศรษฐกิจโลกจะเผชิญความผันผวนมากเพียงใด การมองการณ์ไกล เตรียมพร้อม และความร่วมมือทุกภาคส่วน จะเป็นกุญแจสำคัญพาประเทศผ่านพ้นวิกฤติ ไม่ใช่เพื่อการอยู่รอดระยะสั้น แต่เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนระยะยาว นี่คือความท้าทายที่สำคัญที่สุดในขณะนี้







