แจกเงิน 10,000 พายุหมุนไม่มีจริง!

แจกเงิน 10,000 พายุหมุนไม่มีจริง!

แต่ที่มีจริงคือการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 โตต่ำเพียง 2.5% ต่ำที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ความหวังของรัฐบาลที่คิดว่าการแจกเงินคนละ 10,000 บาทจะกลายเป็น “พายุหมุน” จึงเป็นได้แค่ลมปาก

ที่ต้องถามต่อว่าใครจะรับผิดชอบกับการคุยคำโต แม้จะแจกเงินกันอีกกี่รอบก็ไม่อาจจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะว่าหนี้ครัวเรือนที่สูงถึงกว่าร้อยละ 90 ของจีดีพี ทำให้คนขาดกำลังซื้อ

สอดคล้องกับผลการสำรวจของนิด้าที่ออกมาก่อนหน้านี้ว่าเงินที่ได้รับส่วนใหญ่หมดไปกับการจ่ายค่าน้ำค่าไฟ จ่ายชำระหนี้ เมื่อไม่เกิดกำลังจับจ่ายใหม่ กำลังการผลิตก็ไม่เพิ่ม พายุหมุนที่ไหนจะเกิดได้

ตัวเลขที่ออกมาเช่นนี้จะสร้างความวิตกกังวลให้รัฐบาลเพียงใดไม่อาจจะรู้ได้ เพราะสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมประเมินว่า ปี 2568 เศรษฐกิจไทยเติบโตได้เพียงร้อยละ 2.3-3.3 หรือค่ากลางที่ 2.8 ซึ่งนับเป็นการมองโลกในแง่ดี 

ในขณะที่สถาบันวิจัยเศรษฐกิจทั้งหลายคาดคะเนตัวเลขไม่เกินร้อยละ 2.3-2.5 บางแห่งคาดว่าอาจลงไปต่ำกว่า 2 ด้วยซ้ำ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสงครามการค้าและความสามารถในการรับมือของประเทศ

การบริโภคภาคครัวเรือนนั้น แม้สภาพัฒน์จะประเมินว่าจะขยายตัวในปี 2568 ได้ราวร้อยละ 3.3 แต่ยากจะไปถึงได้จากระดับหนี้ครัวเรือนที่จะยังคงเป็นแรงกดดันอย่างยิ่งต่อการบริโภคต่อไปอีกยาวนาน

 ประจักษ์ชัดจากการแจกเงินไม่ได้สร้างพายุหรือแรงเหวี่ยงของตัวทวีคูณ (multiplier effect) แต่อย่างไร ทั้งตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจและข่าวร้ายรายวันที่มาจากสหรัฐอเมริกาจะยิ่งทำให้คนเกิดความคาดหวังเชิงลบต่ออนาคต ยิ่งทำให้คนเก็บเงินและระมัดระวังกับการใช้จ่ายมากขึ้น เพราะยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

ด้านการลงทุนภาคเอกชนยิ่งหวังได้ยาก ตัวเลขปี 2567 ติดลบไปร้อยละ 1.6 ในขณะที่บีโอไอประกาศตัวเลขขอรับการส่งเสริมการลงทุนจำนวนมาก

แต่การลงทุนจริงตั้งแต่การตอกเข็มสร้างโรงงาน การติดตั้งเครื่องจักร จ้างแรงงาน จนถึงลงมือผลิตจะเกิดจริงเท่าไร เป็นเรื่องที่ยากจะประเมิน 

ขณะที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่าประเทศไทยไม่มีเสน่ห์ในสายตานักลงทุนเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน ทั้งจากปัญหาค่าแรงสูง ขาดแรงงานระดับทักษะ ตลาดในประเทศมีขนาดเล็ก ประชากรสูงวัย ยังไม่รวมถึงต้นทุนการลงทุนที่มองไม่เห็นจากการคอร์รัปชันและความล้มเหลวในการบังคับใช้กฎหมาย

ฟ้องชัดจากดัชนีคอร์รัปชันโลกที่ประกาศออกมาเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า ประเทศไทยมีคะแนนตกต่ำลงไปอย่างน่าใจหาย ปี 2567 ได้คะแนนเพียง 34 จาก 100 อยู่อันดับที่ 107 จาก 180 ประเทศ

ในขณะที่มีหน่วยงานจัดการเรื่องคอร์รัปชันมากมาย แต่ผลงานไม่เป็นที่ประจักษ์ หากยังละเลยกับเรื่องนี้ ประเทศไทยน่าจะดึงดูดได้แต่ธุรกิจสีเทามากกว่าอุตสาหกรรมการผลิตจริง

ในขณะที่รัฐบาลยังคงปลาบปลื้มอยู่กับตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในปีที่แล้วราว 35 ล้านคน แต่เครื่องจักรตัวนี้นับวันจะอ่อนแรงลงเรื่อยๆ เพราะการท่องเที่ยวที่ผ่านมาได้ทำลายสิ่งแวดล้อมและความสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยวให้ทรุดโทรมลงโดยขาดการบำรุงรักษา 

รัฐบาลไม่รู้จะทำอย่างไรก็พยายามจะสร้างสถานที่ท่องเที่ยวแบบเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่แฝงกาสิโนขึ้นมาเสียอีก ท่ามกลางเสียงคัดค้านของคนในประเทศ

ทั้งยังมีนโยบายขยายเวลาเปิดสถานบันเทิง อนุญาตการขายเหล้าเกินเวลาและในวันหยุดสำคัญทางศาสนา เหล่านี้แสดงว่ารัฐบาลกำลังหมดมุกกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ถลุงทรัพยากรการท่องเที่ยวอยู่ฝ่ายเดียวมาตลอด

ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวคราวความไม่ปลอดภัยในการมาท่องเที่ยวในประเทศไทยจะยิ่งกัดกร่อนเครื่องมือนี้ ทั้งความไม่ปลอดภัยบนท้องถนน ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การปล่อยให้อาชญากรข้ามชาติเข้ามาหากินกับการท่องเที่ยว การพนันและอื่นๆ

ทำให้คนหวาดกลัวเกินจะมาเที่ยวในบ้านเรา ยิ่งหากปล่อยให้การพนันล้นเมืองในขณะที่รัฐล้มเหลวกับการบังคับใช้กฎหมาย เชื่อแน่ว่าประเทศไทยจะหากินกับเครื่องจักรตัวนี้ได้อีกไม่เกินสิบปี

สองเรื่องที่รัฐบาลควรจะรีบทำและทำได้ทันที ดีกว่าจะฝันไปกับเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์หรือแลนด์บริดจ์ เพื่อรับมือกับสภาพเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำซึ่งจะแย่ลงไปในอนาคต คือ

ต้องรีบทำการปฏิวัติภาคการเกษตรโดยด่วน เร่งลงทุนในระบบชลประทานทั้งประเทศ เพราะปี 2568 จะเผชิญกับความแห้งแล้งสุดๆ อีกปีหนึ่ง มีระบบการป้องกันน้ำท่วมและน้ำแล้งซ้ำซากอย่างมีประสิทธิภาพ

ปฏิวัติผลิตภาพในภาคการเกษตร เอาเทคโนโลยีมาใช้ สร้างการเกษตรมูลค่าสูง และสนับสนุนการส่งออกสินค้าเกษตร จะสามารถช่วยคนจำนวนมาก ดีกว่าเอาเงินมาแจกแบบไร้สติปัญญา

ควบคู่กับการปฏิวัติในภาคการเกษตรคือการปฏิวัติการบังคับการใช้กฎหมาย ซึ่งสร้างปัญหาให้กับทุกองคาพยพในปัจจุบัน ความอ่อนแอของกฎหมายและการบังคับใช้เป็นต้นเหตุที่คนไม่อยากมาลงทุน นักท่องเที่ยวไม่อยากมาเที่ยว ต้นทุนในการใช้ชีวิตที่สูงเกินไป

ความหวาดระแวงในความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน เรามีผู้รักษากฎหมายที่เป็นอาชญากรเสียเอง มีนักการเมืองที่โกงกินโดยไม่ทำงาน ทำให้สังคมสับสนไร้ระเบียบมานานเกินพอแล้ว หากรัฐบาลจริงจังกับเรื่องนี้จะสามารถขจัดต้นตอและความรุนแรงของปัญหาต่างๆ ได้มากมายหลายเรื่องรวมทั้งปัญหาเศรษฐกิจด้วย

รัฐบาลแม้จะรู้ปัญหาแต่ความเกียร์ว่างและไร้ผู้นำที่มีความสามารถย่อมยากเหลือเกินที่จะสร้างการขับเคลื่อนให้ประเทศพ้นจากการเติบโตต่ำอย่างที่เราประสบอยู่ได้

ความเติบโตแบบนี้จะทำให้ปัญหาการว่างงานติดตามมาในไม่ช้าและสร้างความกังขากับคนรุ่นใหม่ว่า คนรุ่นก่อนทำอะไร ทำไมจึงส่งมอบบ้านเมืองที่บอบช้ำมาให้คนในรุ่นเขา

นักศึกษาสองคนนั่งคุยกันอยู่ใต้ตึกเรียนที่ท่าพระจันทร์ คนหนึ่งคุยว่าเด็กปีหนึ่งอย่างเขาน่าจะเป็นนายกฯ ได้ดีกว่านายกฯ ที่มีอยู่ อีกคนคุยว่าเขากำลังคิดจะย้ายประเทศ ได้ฟังแล้วหดหู่จริงๆ.