จะเพิ่ม GDP อีก 0.5% ได้อย่างไร?

ถ้ามีใครมาถามผมว่า เศรษฐกิจไทยมีโอกาสโตได้ 3.5% จริงหรือไม่? ผมจะตอบว่าจริง แต่มีเงื่อนไขหลายอย่างที่รัฐบาลต้องทำให้ได้ เดี๋ยวมาอธิบายว่า ที่ต้องทำมีอะไรบ้าง
ก่อนอื่นต้องบอกว่า ทิศทางของเศรษฐกิจโลกในปี 2568 ในมุมมองของ IMF อยู่ในสภาวะทรงตัว อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกอยู่ที่ 3.3% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2567 ที่อยู่ที่ 3.2% คือ เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% เท่านั้น แต่เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่ได้เกิดจากสหรัฐและจีน (มีสัดส่วน GDP รวมกันประมาณ 43% ของ GDP โลก) เพราะทั้ง 2 ประเทศ จะชะลอตัวจากปีก่อนทั้งคู่
โดยสหรัฐชะลอลงจาก 2.8% ในปี 2567 เป็น 2.7% ในปี 2568 เช่นเดียวกับจีนที่ชะลอลงจาก 4.8% ในปี 2567 เป็น 4.6% ในปี 2568 แต่ประเทศที่พยุงเศรษฐกิจโลกรอบนี้ คือ อินเดีย ตะวันออกกลาง อาเซียน และแอฟริกา ซึ่งมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสูงกว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
ตัดกลับมาที่ประเทศไทยซึ่งเพิ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐและจีนสูงกว่า 20% ของการส่งออกทั้งหมด ทำให้การหวังพึ่งการส่งออกสินค้าซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่ใหญ่ที่สุดคือ มีสัดส่วน 58% ใน GDP จะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวสูงๆ คงเป็นไปได้ยาก
ประกอบกับแรงกระเพื่อมจากนโยบายทรัมป์สมัยที่ 2 หรือ Trump 2.0 ทำให้เกิดสงครามการค้าภาค 2 หรือ Trade War 2.0 ยิ่งทำให้การค้าและการเงินระหว่างประเทศเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยากมากขึ้น จึงต้องหันกลับมาพึ่งพาการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากภายในทดแทน เครื่องยนต์ภายในประกอบด้วย การบริโภค (สัดส่วนใน GDP ประมาณ 59%) การลงทุน (สัดส่วนใน GDP ประมาณ 24%) และการท่องเที่ยว (สัดส่วนใน GDP ประมาณ 10%)
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน กระทรวงการคลังได้ออกมาแถลงประมาณการเศรษฐกิจปี 2568 ว่าจะขยายตัวได้ 3.0% จึงเกิดคำถามตามชื่อเรื่องว่า เศรษฐกิจไทยจะโต 3.5% ได้จริงหรือ? หรือจะเพิ่มอีก 0.5% ได้อย่างไร? เพราะถ้าดูสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศแล้ว ถาม 100 คน เกือบ 100 คน คงตอบว่ายาก แต่ถ้าตามผมไปต่ออีกนิด จะพบว่าเราสามารถเติบโตได้อีก 0.5% จากการบริหารจัดการของรัฐบาล
ประเด็นที่ 1 กระตุ้นผ่านการบริโภคที่ปิดรูรั่วได้ : เท่าที่ติดตามรัฐบาลมีแผนจะดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 3 (เงินหมื่นเฟส 3) ที่จะไม่ให้เป็นเงินสดแล้ว แต่จะใส่ใน Digital Wallet แทน แปลว่า ถอนเงินสดไปชำระหนี้และเก็บออมไม่ได้ (ปิดรูรั่ว) ให้ใช้ในรัศมีที่กำหนดในระยะเวลาที่กำหนด ฉะนั้น เงินจะลงสู่ระบบเศรษฐกิจทั้งหมด กระจายทุกพื้นที่และกระตุ้นได้ทันที
สมมติมีกลุ่มเป้าหมาย 15 ล้านคน ใช้เงินประมาณ 1.5 แสนล้านบาท เงินก้อนนี้จะกระตุ้นใน GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.1% เพราะเป็นเงินที่รัฐบาลตั้งเป็นงบประมาณไว้อยู่แล้ว ถ้าเป็นเงินใหม่เลยจะกระตุ้นได้มากกว่านี้
ประเด็นที่ 2 เร่งรัดการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนให้ได้ตามเป้า : งบประมาณรายจ่ายลงทุนปีงบประมาณ 2568 อยู่ที่ 9.3 แสนล้านบาท ตั้งเป้าการเบิกจ่าย ณ สิ้นปีงบประมาณไว้ที่ 80% หรือประมาณ 7.5 แสนล้านบาท ตัวเลขอัตราการเติบโตที่ 3.0% กระทรวงการคลังตั้งสมมติฐานการเบิกจ่ายไว้ที่ 75% เท่านั้น ขาดไป 5% หรือประมาณ 46,500 ล้านบาทถ้าสามารถทำได้ 80% ตามเป้า จะกระตุ้น GDP ให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อีก 0.11%
ประเด็นที่ 3 กระตุ้นการท่องเที่ยวยาวทั้งปีไม่ต้องรอ High Season : ในปี 2568 คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาประมาณ 38.5 ล้านคน หรือขยายตัวประมาณ 8.5% แต่ถ้าเรากระตุ้นการท่องเที่ยวตลอดทั้งปีโดยการต่อมาตรการที่ทำอยู่แล้วไปยาวๆ เช่น วิซ่าฟรี ยกเว้นบัตร ตม.6 เป็นต้น บวกกับโหมประชาสัมพันธ์ อัดแคมเปญในฐานะเจ้าภาพซีเกมส์ในช่วงปลายปี เชิญชวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาเที่ยว ซึ่งเป็นช่วง High Season พอดีถ้าสามารถเพิ่มยอดนักท่องเที่ยวต่างประเทศได้อีกสัก 500,000 คน จะกระตุ้น GDP ให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อีก 0.15%
ประเด็นที่ 4 เร่งรัดให้โครงการลงทุนเอกชนที่ได้รับบัตรส่งเสริมแล้วเร่งลงทุนจริง : จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI พบว่า ในปี 2566-2567 มีโครงการที่มาขอรับการส่งเสริมการลงทุนเกือบ 2 ล้านล้านบาท อนุมัติการส่งเสริมไปแล้ว 1.7 ล้านล้านบาท และได้รับการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนไปแล้ว 1.3 ล้านล้านบาท ถ้าเราเร่งรัดการลงทุนให้เกิดขึ้นจริง (ถมที่ ตอกเสาเข็ม ขึ้นโครงสร้าง) ได้เพียง 75,000 ล้านบาท จะกระตุ้น GDP ให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อีก 0.19%
ฉะนั้น หากรัฐบาลสามารถเร่งรัดและกระตุ้นอย่างเข้มข้นใน 4 ประเด็นข้างต้น เราก็จะได้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจเพิ่มอีก 0.5% จาก 3.0% เป็น 3.5% ทันที
บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน มิได้ผูกพันเป็นความเห็นขององค์กรที่สังกัด