จับกระแสเศรษฐกิจ ความท้าทายใหญ่ ในปีงูเล็ก

จับกระแสเศรษฐกิจ ความท้าทายใหญ่ ในปีงูเล็ก

เศรษฐกิจไทยในปีมะเส็ง หรือ “ปีงูเล็ก” ต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญที่ “ไม่เล็ก” ตามชื่อ เนื่องจากเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความเสี่ยง โดยเฉพาะจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (deglobalization) ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นจากช่วง 7 ปีที่ผ่านมา

อีกทั้งการหวนคืนสู่ทำเนียบขาวของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ในปีนี้ คาดว่าจะยิ่งทำให้สงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีรุนแรงยิ่งขึ้น ส่งผลกระทบต่อการค้า และการเติบโตของหลายประเทศทั่วโลก

นอกจากนี้ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายพื้นที่สำคัญมีความเสี่ยงที่จะรุนแรงกลายเป็นสงครามได้ อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความท้าทาย ถ้าไทยมีความพร้อมเพียงพอก็จะสามารถคว้าโอกาสจากการย้ายฐานการลงทุนท่ามกลางความขัดแย้งนี้ได้

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังคงขยายตัวได้ โดยคาดการณ์ว่าจะเติบโตราวร้อยละ 2.5-3 ใกล้เคียงกับร้อยละ 2.8 ในปี 2567 โดยธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 1 และมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 ในปีนี้

ในขณะที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มผันผวน และอาจอ่อนค่าโดยเฉลี่ยที่ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม การเติบโตในแต่ละภาคส่วนยังมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยภาคการลงทุนยังคงขยายตัวได้ดี แต่การขยายตัวของการส่งออก และการท่องเที่ยวอาจชะลอตัว

การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวในปีนี้ แม้ว่าชะลอตัวในปี 2567 จากยอดขายรถปิคอัพ และการก่อสร้างลดลงจากภาวะชะลอตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์

อย่างไรก็ดี ในปี 2568 การลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะฟื้นตัวและขยายตัวขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากการย้ายฐานการลงทุนมายังประเทศไทย อันเป็นผลสืบเนื่องจากสงครามการค้า

สะท้อนจากข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ระบุว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 มีการอนุมัติการลงทุนมูลค่าเกือบ 8 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี และคาดว่าจะส่งผลให้เริ่มเกิดการลงทุนจริงในปีนี้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ไฟฟ้า เครื่องจักร และผลิตภัณฑ์อาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ

การใช้จ่ายภาครัฐในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวจากปีก่อนหน้า เพราะสามารถดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามกำหนด เนื่องจากงบประมาณ 2567 มีความล่าช้าในการเบิกจ่ายถึง 8 เดือน ส่งผลให้การลงทุนภาครัฐลดลงในช่วง 5 เดือนแรกของปีที่แล้ว 

ในปีงบประมาณ 2568 งบลงทุนที่ได้รับจัดสรรกว่า 9.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 28 จากปีก่อนหน้า ประกอบกับการเบิกจ่ายน่าจะดำเนินการได้ตามแผน จึงคาดการณ์ว่าการลงทุนภาครัฐจะเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับปี 2567

การบริโภคภาคครัวเรือนได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของรายได้ที่ค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงการสนับสนุนจากรัฐบาลผ่านโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ในระยะที่สองและสาม ซึ่งมีวงเงินรวมกว่า 3 แสนล้านบาท โดยจะถูกโอนให้แก่ประชาชนชาวไทยอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปกว่า 30 ล้านคนในปีนี้

แต่กระนั้น การบริโภคของครัวเรือนยังเผชิญข้อจำกัดจากระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงเกือบร้อยละ 90 ของจีดีพี และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันการใช้จ่าย ส่งผลให้การเติบโตของการบริโภคภาคครัวเรือนในปีนี้มีแนวโน้มชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ด้านการส่งออกของไทย แม้ว่าจะทำสถิติสูงสุดในปีที่ผ่านมา แต่คาดว่าจะเติบโตช้าลงในปี 2568 โดยอาจขยายตัวเพียงร้อยละ 1-2 จากผลกระทบของสงครามการค้าที่คาดว่าจะรุนแรงขึ้นทั่วโลก

โดยในปี 2567 มูลค่าการส่งออกขยายตัวเกือบร้อยละ 4 โดยสินค้าหลัก ได้แก่ คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน รถยนต์นั่ง ชิ้นส่วนยานยนต์ ผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องปรับอากาศ เครื่องประดับ เหล็กและเหล็กกล้า ผลิตภัณฑ์เคมีและปิโตรเคมี รวมถึงเสื้อผ้าและสิ่งทอ

โดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐ ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงจากการแทนที่สินค้าจีน ท่ามกลางสงครามการค้าสหรัฐ-จีนที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2561

ในปี 2568 เมื่อรัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐเริ่มดำเนินนโยบายสงครามการค้ากับประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐ ซึ่งอาจรวมถึงประเทศไทย ก็อาจจะส่งผลให้การส่งออกไปยังสหรัฐชะลอตัวลง

อย่างไรก็ดี หากอัตราภาษีที่สหรัฐจะเรียกเก็บจากจีนหรือเวียดนามสูงกว่าของไทยมาก สินค้าส่งออกของไทยอาจยังคงแข่งขันได้ในตลาดสหรัฐ แต่การส่งออกไปยังตลาดหลักอื่น ๆ เช่น จีน ญี่ปุ่น และยุโรป อาจชะลอตัวลง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า

การท่องเที่ยวในปี 2568 คาดว่าจะยังคงขยายตัวได้ แต่ในอัตราที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยในปี 2567 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 35.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 26 ล้านคนในปี 2566

สำหรับในปี 2568 คาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับสู่ระดับก่อนการระบาดของโควิด-19 ที่ประมาณ 40 ล้านคน โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมาจากประเทศจีน ยุโรป และมาเลเซีย อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวในปีนี้คาดว่าจะยังคงต่ำกว่าระดับก่อนการระบาดของโควิด-19

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่า เศรษฐกิจไทยในปีมะเส็งยังคงเผชิญกับความเสี่ยงหลายด้าน โดยเฉพาะการไหลเข้าของสินค้าจีน ความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง และความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ

การที่สินค้าจีนยังคงทะลักเข้าสู่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 โดยเฉพาะสินค้าวัตถุดิบ ชิ้นส่วน และเครื่องจักร ซึ่งคาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกในปีนี้ เนื่องจากความรุนแรงของสงครามการค้าและการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาลงทุนในไทย ส่งผลให้ผู้ประกอบการบางรายในประเทศไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น

นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานของพลังงาน ในตลาดโลก และนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของราคาพลังงาน ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนพลังงานในประเทศไทย รวมถึงส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าและอัตราเงินเฟ้อโดยรวม

รวมทั้งความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนใหม่และอุตสาหกรรมใหม่

เพราะฉะนั้น ในเศรษฐกิจไทยปีงูเล็ก ที่มีความท้าทายใหญ่ และความเสี่ยงมากมาย ภาคธุรกิจ ซึ่งประชาชนมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นในปีนี้.