รถยนต์ยุโรป : เข้าเกียร์เดินหน้าหรือถอยหลัง?

รถยนต์ยุโรป : เข้าเกียร์เดินหน้าหรือถอยหลัง?

รถยนต์ไฟฟ้ากำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าอุตสาหกรรมรถยนต์โลก และไม่ใช่แค่เพียงอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่อุตสาหกรรมรถยนต์ของยุโรปซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์สันดาปอันดับ 2 ของโลกก็กำลังเผชิญกับปัญหาการผลิตที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การปลดพนักงานและปิดโรงงานหลายแห่ง 

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นสร้างความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปเป็นอย่างมาก เนื่องจากอุตสาหกรรมรถยนต์ถือได้ว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจยุโรป ด้วยมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านยูโร หรือร้อยละ 7 ของ GDP กลุ่มยูโรในปี 2565

บทความนี้จึงอยากเชิญชวนผู้อ่านมาเจาะภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์ของยุโรปที่กำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญ 2 ประการ คือ การปรับตัวตามแผนปฏิรูปยุโรปสีเขียว (European Green Deal) และการเสียส่วนแบ่งตลาดให้ผู้เล่นใหม่โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงทิศทางการดำเนินนโยบายในอนาคต

แผนปฏิรูปยุโรปสีเขียว ต้นทุนที่ไม่สามารถมองข้าม

เพื่อให้บรรลุสัตยาบันที่ให้ไว้ตาม Paris Agreement ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ในปี 2593 (Net Zero) ยุโรปจึงได้ทำแผนปฏิรูปยุโรปสีเขียวขึ้น (European Green Deal)

โดยส่วนหนึ่งของแผนคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากรถยนต์ขายใหม่ลงให้เป็นศูนย์ภายในปี 2578 และมีเป้าหมายระยะสั้นคือการลดการปล่อยก๊าซฯ ลงร้อยละ 15 ภายในปี 2568 รวมทั้งตั้งค่าปรับกับผู้ผลิตที่ไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากรถยนต์ที่ขายได้ โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ผู้ผลิตหันมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้า

รถยนต์ยุโรป : เข้าเกียร์เดินหน้าหรือถอยหลัง?

อย่างไรก็ดี แม้ว่าผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปจะพยายามปรับตัวโดยเร่งการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนร่วมลงทุนกับบริษัทรถยนต์จีนเพื่อเปิดรับนวัตกรรมใหม่ แต่การปรับเปลี่ยนการผลิตจากรถยนต์สันดาปเป็นรถยนต์ไฟฟ้ามีต้นทุนที่สูง ทั้งจากข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี แหล่งวัตถุดิบ และกฎหมายแรงงานของยุโรปที่ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ไม่สามารถปลดพนักงานออกเพื่อปรับเปลี่ยนไปยังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แรงงานน้อยกว่าได้ 

ประกอบกับความต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรปเริ่มชะลอลง เนื่องจากผู้บริโภคยังมีข้อกังวลในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ทั้งราคาที่สูง สถานีชาร์จที่ยังไม่ครอบคลุม และระยะทางการขับขี่

ส่งผลให้ผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปอาจไม่สามารถเพิ่มปริมาณการขายรถยนต์ไฟฟ้าได้ตามเป้าหมายของ European Green Deal และอาจต้องจ่ายค่าปรับหลายพันล้านยูโรในปีนี้

รถยนต์ไฟฟ้าจีน คู่แข่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง

นอกจากการปรับตัวที่ทำได้ช้าแล้ว ตลอดทศวรรษที่ผ่านมายุโรปยังสูญเสียส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ทั้งในและนอกภูมิภาคให้กับจีน โดยสัดส่วนการส่งออกรถยนต์ไปตลาดโลกของยุโรปปรับลดลงร้อยละ 10 จากร้อยละ 48 ในปี 2547 เหลือร้อยละ 38 ในปี 2566 ขณะที่สัดส่วนการส่งออกรถยนต์จากจีนไปตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นจาก 0 เป็นร้อยละ 8 ในช่วงเวลาเดียวกัน 

รถยนต์ยุโรป : เข้าเกียร์เดินหน้าหรือถอยหลัง?

นอกจากนี้ ความพยายามของยุโรปในการผลักดันการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในยุโรปเองยังมีราคาสูง ผลักดันให้การนำเข้ารถยนต์จากจีนที่มีราคาถูกกว่า ปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2562 เป็น 18.3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2566 โดยกว่า 80% เป็นการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า

เดินหน้าหรือถอยหลัง

แม้ว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ของยุโรปจะเผชิญกับความท้าทายหลายประการ แต่ก็ยังเห็นความพยายามในการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์อย่างต่อเนื่อง

โดยในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนสูงสุดเป็น 45% เพื่อป้องกันไม่ให้รถยนต์ไฟฟ้าจีนที่มีกำลังการผลิตส่วนเกินสูงและราคาถูกกว่า ไหลเข้ายุโรปเร็วเกินไปจนกระทบการปรับตัวของผู้ผลิต 

เนื่องจากยุโรปเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากจีน ขณะที่สหรัฐที่มีตลาดรถยนต์ไฟฟ้าใหญ่เป็นอันดับ 3 ได้มีการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเป็น 100% ไปแล้วก่อนหน้านี้

นอกจากความเคลื่อนไหวจากภาครัฐฯ แล้ว ภาคเอกชนนำโดยสมาคมผู้ผลิตรถยนต์ยุโรป (ACEA) ก็ได้ร่วมลงนามเสนอแผนเพื่อปฏิรูปอุตสาหกรรมรถยนต์ยุโรป (Manifesto for a Competitive European Auto Industry) เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ ผ่านการสนับสนุนจากภาครัฐที่ครอบคลุมมิติที่สำคัญ 3 ด้าน ได้แก่

1.การเพิ่มขีดความสามารถด้านการผลิตรถยนต์พลังงานสะอาด ผ่านการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย เช่น การพัฒนาฝีมือแรงงาน การพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิล การพัฒนาซอฟต์แวร์รถยนต์ รวมถึงสนับสนุนการผลิต “รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก” ที่มีราคาเข้าถึงได้ และคุ้มค่าในการผลิตในยุโรป

2.การเพิ่มความมั่นคงด้านอุปทาน ผ่านการทำข้อตกลงการค้ากับประเทศต่าง ๆ เพื่อให้ยุโรปสามารถเข้าถึงวัตถุดิบการผลิต รวมถึงการสร้างความมั่นคงทางพลังงานในราคาที่เข้าถึงได้ และแก้ไขความซ้ำซ้อนของกระบวนการให้ใบอนุญาตต่าง ๆ

3.การเพิ่มอุปสงค์สำหรับรถยนต์พลังงานสะอาด ผ่านใช้มาตรการจูงใจ เช่น การลดภาษีรถยนต์ การให้เงินสนับสนุนแก่ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การติดตั้งสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าให้ทั่วยุโรป

ความเคลื่อนไหวจากทั้งภาครัฐและเอกชนนี้เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่ายุโรปยังคงพยายามพัฒนารถยนต์พลังงานสะอาด เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมาย European Green Deal และสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรม 

ซึ่งการร่วมมือกันผ่านนโยบายอุตสาหกรรม (industrial policy) และวิสัยทัศน์ร่วม (shared vision) จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมรถยนต์ของยุโรปและนำไปสู่ความยั่งยืนของเศรษฐกิจในอนาคต

บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด

รถยนต์ยุโรป : เข้าเกียร์เดินหน้าหรือถอยหลัง?

คอลัมน์​ แจงสี่เบี้ย

ภัทรวดี นิรฉัตรสุวรรณ

ธนาคารแห่งประเทศไทย