จับตานโยบายทรัมป์และอัตราดอกเบี้ยญี่ปุ่น

สัปดาห์นี้มีสองเรื่องที่จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก เรื่องแรก คือการเข้ารับตําแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัยที่สองของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในวันนี้ (20 ม.ค.) ที่ตลาดการเงินอยากเห็นความชัดเจนของนโยบายต่างๆ ซึ่งไม่ว่าจะออกมาอย่างไรจะมีผลกว้างขวางต่อเศรษฐกิจโลก
สองคือ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางญี่ปุ่นในวันที่ 23-24 ม.ค. ซึ่งถ้ามีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างที่นักวิเคราะห์บางส่วนคาด ตลาดการเงินโลกก็จะผันผวนจากการปรับพอร์ตของนักลงทุนที่กู้เงินเยนมาลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ซึ่งจะกระทบตลาดหุ้นทั่วโลก นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้ เริ่มที่อัตราดอกเบี้ยญี่ปุ่น
ผมตอนนี้อยู่ญี่ปุ่น มาสอนหนังสือประจําปีที่มหาวิทยาลัย ฮิโตสุบาชิ (Hitotsubashi) กรุงโตเกียว สอนหลักสูตรนโยบายสาธารณะเอเซีย เป็นหลักสูตรปริญญาโทภาษาอังกฤษ ซึ่งนักศึกษาเป็นข้าราชการจากหน่วยงานเศรษฐกิจจากประเทศในเอเซีย หลักสูตรนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นและองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ เช่น ไอเอ็มเอฟ เอดีบี ธนาคารโลก ผมสอนหลักสูตรนี้ต่อเนื่องมากว่าสิบปี และทุกครั้งที่มาก็สนุกกับการสอน เห็นการเปลี่ยนแปลงของศักยภาพข้าราชการจากประเทศต่างๆ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจและสังคมญี่ปุ่น
คราวนี้ก็เช่นกัน นักท่องเที่ยวในญี่ปุ่นมีมากขึ้นชัดเจน และของก็แพงขึ้นโดยเฉพาะราคาอาหาร สมัยก่อนโควิด จําได้ว่า อาหารเที่ยงนั่งทานในร้านประมาณ 1,000 เยนมีให้ทาน แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว ต้อง1,200 เยนขึ้นไป ถ้าจะทานแบบ 1,000 เยนก็ต้องเป็นอาหารกล่อง เอาไปทานนอกร้าน แต่คุณภาพดีเหมือนเดิม
โจทย์นโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่นในการประชุมสัปดาห์นี้คือ เงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น อัตราเงินเฟ้อเดือน พ.ย.ปีที่แล้วอยู่ที่ร้อยละ 2.9 เพิ่มจากร้อยละ 2.3 เดือนก่อนหน้า เป็นอัตราสูงสุดตั้งแต่ ต.ค.2566 และหมวดที่ราคาเพิ่มมากสุดคืออาหาร เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 ล่าสุดตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ธ.ค.วัดจากราคาขายส่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 สะท้อนราคาวัตถุดิบอาหารที่แพงขึ้น เงินเยนที่อ่อนค่า และราคาสินค้านําเข้าที่เพิ่มสูงขึ้น ตัวเลขดังกล่าวชี้ว่า อัตราเงินเฟ้อเดือน ธ.ค.วัดจากราคาผู้บริโภคหรือ CPI คงจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน
ในแง่นโยบาย อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในญี่ปุ่นเป็นทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ข่าวดีคือเศรษฐกิจญี่ปุ่นออกจากภาวะเงินฝืดหรือ Deflation ที่เป็นปัญหาของเศรษฐกิจญี่ปุ่นมาตั้งแต่หลังเกิดฟองสบู่แตกเมื่อ 30 ปีก่อน และนําเศรษฐกิจญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคความสูญเสียนานกว่าสามทศวรรษ คือเศรษฐกิจขยายตัวตํ่า อัตราเงินเฟ้อต่ำหรือติดลบ และเศรษฐกิจมีข้อจํากัดจากประชากรสูงวัย
ทางการญี่ปุ่นพยายามแก้ปัญหาโดยใช้นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดอัตราดอกเบี้ย และอัดฉีดสภาพคล่องโดยมาตรการคิวอีจนอัตราดอกเบี้ยติดลบ แต่ทั้งหมดก็ไม่สามารถทําให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นกลับมาขยายตัวอย่างเข้มแข็งได้ แม้หนี้สาธารณะจะเพิ่มมากถึงประมาณ 261% ของจีดีพี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเศรษฐกิจและระบบการเงินญี่ปุ่นขาดการปฏิรูปหลังฟองสบู่แตก ทําให้ผลิตภาพของเศรษฐกิจญี่ปุ่นลดลงจากปัญหาหนี้เสียที่เรื้อรัง และบริษัทญี่ปุ่นไม่เข้มแข็งด้านนวัตกรรมที่จะแข่งขันเพราะขาดการลงทุน
หลังโควิดเมื่ออัตราเงินเฟ้อทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น ธนาคารกลางญี่ปุ่นไม่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทันทีเหมือนธนาคารกลางอื่นๆ เพราะห่วงผลต่อภาระหนี้สาธารณะ ทําให้เงินเยนอ่อนค่าต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ 156.7 เยนต่อดอลลาร์ เงินเยนที่อ่อนค่าทําให้การส่งออกและการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นขยายตัวดี ส่งผลให้ฐานะทางการเงินของบริษัทญี่ปุ่นเข้มแข็งขึ้น และอัตราเงินเฟ้อในญี่ปุ่นเร่งตัวขึ้น
ที่เป็นข่าวร้ายคือ เงินเฟ้อที่สูงขึ้นทําให้ราคาสินค้าแพงขึ้นและความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่นลําบากขึ้น ราคาสินทรัพย์แท้จริง รายได้และอํานาจซื้อแท้จริงของคนญี่ปุ่นลดลง จนรัฐบาลต้องเจรจากับภาคธุรกิจให้ปรับอัตราค่าจ้างแรงงานสูงขึ้นเพื่อดูแลความเป็นอยู่ของประชาชน ผลคือปีที่แล้วค่าจ้างในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ
ปีนี้ไอเอ็มเอฟคาดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะขยายตัวร้อยละ 1.1 สูงกว่าปีที่แล้วที่ขยายตัวร้อยละ 0.3 ขับเคลื่อนโดยการขยายตัวของการบริโภคที่จะได้ประโยชน์จากค่าจ้างแท้จริงที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปีนี้จากการปรับขึ้นของอัตราค่าจ้าง
ประเด็นหลักที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นจะให้ความสําคัญในการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์นี้ คือความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ที่ล่าสุดเงินเฟ้อได้เร่งตัวขึ้นและอยู่สูงกว่าเป้าทางนโยบายที่ร้อยละ 2
ปัจจัยที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นคงนํามาพิจารณาคือ ทิศทางค่าเงินเยน อัตราการเพิ่มของค่าจ้างปีนี้ และความเสี่ยงที่จะมาจากนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐภายใต้ประธานาธิบดี ทรัมป์ ว่านโยบายทรัมป์จะส่งผลต่อการค้าโลก การค้าระหว่างสหรัฐกับญี่ปุ่น อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดอย่างไร และเหล่านี้จะส่งผลต่อความเสี่ยงเงินเฟ้อในเศรษฐกิจญี่ปุ่นอย่างไร โดยเฉพาะทิศทางค่าเงินเยน ซึ่งเป็นตัวแปรหลักในสมการเงินเฟ้อญี่ปุ่น
ล่าสุด ตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ธ.ค.ในสหรัฐเร่งตัวขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 2.9 จากร้อยละ 2.7 เดือนก่อนหน้า ทำให้ความเข้าใจตอนนี้คือ ความเสี่ยงเงินเฟ้อในสหรัฐคงเพิ่มสูงขึ้นปีนี้จากแรงกดดันเงินเฟ้อที่มีอยู่และมาตรการต่างๆ ที่จะออกมาภายใต้รัฐบาลทรัมป์ 2.0 ทําให้เฟดอาจชะลอหรือหยุดการลดอัตราดอกเบี้ยปีนี้ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจะสร้างความวุ่นวายและความไม่แน่นอนมากให้กับตลาดการเงินโลก
ดังนั้น การตัดสินใจของธนาคารกลางญี่ปุ่นสัปดาห์นี้ รวมถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจจึงสำคัญ เพราะจะชี้ว่าธนาคารกลางระดับนําของโลกคิดหรือประเมินอย่างไรเกี่ยวกับความเสี่ยงเงินเฟ้อในเศรษฐกิจโลกปีนี้ คือ ถ้าธนาคารกลางญี่ปุ่นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็ชัดเจนว่าความเสี่ยงเงินเฟ้อมีมาก ตลาดการเงินโลกคงปรับตัวตามอย่างผิดหวัง ซึ่งอาจรุนแรง
คอลัมน์ เศรษฐศาสตร์บัณฑิต
ดร.บัณฑิต นิจถาวร
ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล