ถ้าอยากให้เศรษฐกิจโต 4%-5% ต้องทำอะไรบ้าง ?

นับตั้งแต่ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 ในปี 2563 เป็นต้นมา เศรษฐกิจไทยมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยเพียง 2% และในปี 2567 ที่เพิ่งจบไปน่าจะเติบโตได้ราวๆ 2.6% - 2.7% เท่านั้น เพราะช่วงครึ่งปีแรกอัตราการเติบโตต่ำเพราะปัญหาการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า เพิ่งมาเร่งเครื่องในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะการลงทุนภาคการก่อสร้างจากภาครัฐ การลงทุนภาคเอกชน การท่องเที่ยว และการบริโภคที่ได้อานิสงส์จากโครงการแจกเงิน 10,000 บาท
ส่วนในปี 2568 ประมาณการอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจของหลายๆ หน่วยงานเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3% บวกลบเล็กน้อย ฟันธงลำบาก เพราะเพิ่งเริ่มปี ยังไม่เห็นสัญญาณจากเครื่องชี้เศรษฐกิจ เวลาไปบรรยายเลยมีคนถามผมว่า 3% จะได้ไหม พอใจ 3% หรือไม่ ผมตอบว่า “ถ้าความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลกไม่รุนแรงก็มีโอกาสเห็น 3% แม้จะดีกว่าปี 2567 แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้ เพราะมี 4 กับดักที่ล้อมเราอยู่” ได้แก่
1.กับดักรายได้ปานกลาง เราต้องมีรายได้ต่อคนต่อปีที่ 12,500 ดอลลาร์จากปัจจุบันอยู่ที่ 7,500 ดอลลาร์ เพื่อก้าวขึ้นสู่ประเทศที่มีรายได้สูง การเติบโตแค่ 3% แถมเงินเฟ้อเพิ่มแค่ 1% ใช้เวลามากกว่า 10 ปีแน่นอน ถึงเวลานั้น เราอาจจะมีจำนวนผู้สูงอายุมากขึ้น คนวัยทำงานน้อยลง แถมคนเกิดน้อยลงเรื่อยๆ แล้วเราจะขับเคลื่อนประเทศด้วยอะไร
2.กับดักรายได้รัฐบาลต่ำ เราอยากให้รัฐบาลจัดเก็บรายได้ได้มากขึ้น กลับไปที่สู่ระดับอัตราส่วนของรายได้รัฐบาลต่อ GDP ที่ประมาณ 18% จากปัจจุบันอยู่ที่ 14% การเพิ่มรายได้ก็เพื่อให้รัฐบาลมีรายได้มากพอไปจัดสรรเป็นรายจ่ายลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่นำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่ม GDP ในอนาคต
3.กับดักหนี้สาธารณะ เราอยากเห็นอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ลดลง กลับไปต่ำกว่าระดับ 60% จากปัจจุบันอยู่ที่ 64.4% หรือเกือบ 12 ล้านล้านบาท สูงสุดในประวัติศาสตร์แล้ว และมีแนวโน้มวิ่งขึ้นไปที่ 70% ทำให้มีพื้นที่ทางการคลังในการรับมือกับความเสี่ยงกรณีมีเหตุฉุกเฉินทางเศรษฐกิจที่ไม่คาดคิดน้อยลงเรื่อยๆ ดังนั้น เราต้องรักษาพื้นที่สุดท้ายนี้ไว้ วิธีการที่ดีที่สุดคือ ทำให้เศรษฐกิจเติบโตสูงๆ มีรายได้เข้ารัฐบาลมากขึ้น เพื่อกดให้สัดส่วนนี้ลดลง
4.กับดักหนี้ครัวเรือน เราอยากเห็นอัตราส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลง กลับไปต่ำกว่า 80% ปัจจุบันสูงเกือบ 90% ของ GDP หรือประมาณ 16 ล้านล้านบาท ซึ่งหนี้เสียที่ผิดนัดชำระหนี้มากกว่า 90 วัน หรือ NPL และหนี้ที่กำลังจะเสียหรือผิดนัดชำระหนี้มากกว่า 30 วัน แต่ไม่เกิน 90 วัน ยังคงขยายตัวสูงมาก แม้ยอดเดือน พ.ย.จะลดลงจากเดือน ต.ค.แล้วก็ตาม การแก้ปัญหาให้ได้ผลที่สุด คือ การทำให้ชาวบ้านและผู้ประกอบการร้านค้ามีรายได้เพิ่มขึ้นจากการที่เศรษฐกิจดีขึ้น
แต่การจะขยับการเติบโตของเศรษฐกิจที่หักเงินเฟ้อแล้วจาก 3% ไปเป็น 4% - 5% ในโลกความเป็นจริงไม่ง่าย เพราะมีปัจจัยลบระหว่างทางมากมาย แต่ถ้าเราใช้แบบจำลองเศรษฐกิจ (Macroeconomic Model) เป็นเครื่องมือนำทาง และช่วยกันขับเคลื่อนอย่างเข้มข้นจริงจังทั้งภาครัฐและเอกชนก็มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นเลข 4% - 5% ลองมาดูว่า เราต้องทำอะไรบ้าง?
1.รัฐบาลผลักดันให้เกิดการลงทุนภาคเอกชนจริงๆ ไม่ใช่แค่คำขอ อนุมัติ ออกบัตร ต้องมองไปถึงขั้นตอนการถมที่ ตอกเสาเข็ม เดินสายไฟ เดินท่อน้ำ ติดตั้งเครื่องจักรกล เดินสายการผลิต ลงทุนจริงให้ได้ 400,000 ล้านบาท เพราะทุกๆ 100,000 ล้านบาท จะทำให้ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.25% ดังนั้น ถ้าลงทุนให้ได้จริง ๆ 400,000 ล้านบาท เราก็จะได้ GDP เพิ่มขึ้น 1% การผลักดันเม็ดเงินลงทุน 400,000 ล้านบาท ผมคิดว่าอยู่ในวิสัยที่ทำได้ เพราะ BOI บอกว่าในปี 2567 มีเม็ดเงินลงทุนมาขอรับการส่งเสริมกว่า 1 ล้านล้านบาท
ดังนั้น ถ้าเร่งอนุมัติ ออกบัตร ที่สำคัญต้องกระชับกลไกให้เกิดการลงทุนจริง ถ้าเม็ดเงินลงทุนใหม่นี้ลงทุนจริงราว 80% ของ 1 ล้านล้านบาท ภายใน 2 ปี ในทางแบบจำลองจะดัน GDP ได้ถึง 2% ภายใน 2 ปี เลยทีเดียว จะเห็นว่าตัวนี้ตัวเดียวก็มีพลังมหาศาลแล้ว
2.กระตุ้นการท่องเที่ยวให้ชนะปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 ปัจจุบันพฤติกรรมการท่องเที่ยวเปลี่ยนเป็นเที่ยวสั้นและจ่ายน้อย ฉะนั้น เราต้องแก้เกมโดยเน้นนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ เดิมก่อนโควิด-19 การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างประเทศเฉลี่ยจะมากกว่า 55,000 บาทต่อคนต่อทริป ปัจจุบันลดลงมาเหลือเพียง 47,000 บาทต่อคนต่อทริป ต้องหาทางเพิ่มมูลค่าการใช้จ่ายกลับไปเท่าเดิม โดยการเพิ่มจำนวน การเพิ่มระยะเวลาพำนัก
ทุกๆ การเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 1 ล้านคน จะทำให้ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.4% ในปี 2568 หากเราคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 39 ล้านคน ถ้าเราทำได้ 40 ล้านคน ซึ่งจะกลับไปมากกว่าปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 จะทำให้ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.4%
3.เร่งรัดรายจ่ายลงทุนภาครัฐให้ได้ตามเป้าหมาย โดยกระทรวงการคลังตั้งเป้าหมายอัตราการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนไว้ที่ 80% ของรายจ่ายลงทุน 9 แสนกว่าล้านบาท หลาย ๆ ปีที่ผ่านมา อัตราการเบิกจ่ายที่เกิดขึ้นระหว่างทาง 12 เดือน ห่างเป้าหมายไปเรื่อยๆ ไปเร่งเอาช่วงปลายปีงบประมาณ ทำให้ระหว่างปีก็ขาดเม็ดเงินลงไปกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ต่างๆ ขณะนี้ตัวเลขเชิงประจักษ์ พบว่า ปี 2568 เลขจริงต่ำกว่าเลขเป้าหมายแล้ว 2 เดือน หากปล่อยไปเรื่อยๆ ก็จะไม่ถึง 80% ตามเป้าหมาย ฉะนั้น รัฐบาลต้องเร่งเบิกจ่ายให้ได้ตามเป้าต่อเนื่อง
ยิ่งพลาดเป้าไปทุกๆ 100,000 ล้านบาท อัตราการเติบโตของ GDP ก็จะหายไป 0.25% ด้วย นี่คือค่าเสียโอกาสถ้าพลาดเป้า และจะไปบั่นทอนเครื่องยนต์ใน 2 ข้อแรก
4.สนับสนุนให้อัตราแลกเปลี่ยนค่อนไปทางอ่อนค่า หรือเท่าปัจจุบันที่ 34.5 บาทต่อดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนให้การส่งออกเข้ามาช่วยขับเคลื่อนอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจอีกตัวหนึ่ง เพราะการส่งออกเป็นเครื่องยนต์ที่มีขนาดต่อ GDP ถึง 69% หากปล่อยให้ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์เฉลี่ยในปี 2568 แข็งขึ้นเพียง 50 สตางค์ต่อดอลลาร์จะทำให้อัตราการเติบโตของ GDP ก็จะหายไปอีก 0.15%
ในทางกลับกัน ทุกๆ การอ่อนค่าลง 50 สตางค์ต่อดอลลาร์ อัตราการเติบโตของ GDP ก็จะเพิ่มขึ้น 0.15% แต่อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์เรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องยากที่สุด เพราะมีปัจจัยแวดล้อมอีกมาก เช่น นโยบาย Trump 2.0 จะมีผลต่ออัตราภาษีนำเข้าอย่างไร มีผลต่อเงินเฟ้อแค่ไหน ส่งผลให้เกิดการปรับอัตราดอกเบี้ยอีกไหม ถ้าปรับก็จะเกิดเงินทุนไหลเข้า/ออก วนกลับมากระทบค่าเงินอีก ไม่ใช่แค่ประเทศไทยแต่เป็นทั้งโลก
ดังนั้น ในปี 2568 เราต้องผลักดันให้เอกชนลงทุนจริงราว 400,000 ล้านบาท กระตุ้นให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาเพิ่มราว 500,000 คน เร่งรัดรายจ่ายลงทุนภาครัฐให้เป็นไปตามเป้าหมาย บริหารจัดการให้ค่าเงินบาทอยู่ในระดับปัจจุบัน เศรษฐกิจก็น่าจะเติบโตได้มากกว่า 4% แล้ว
บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน มิได้ผูกพันเป็นความเห็นขององค์กรที่สังกัด