ยังมีหนทาง...หรือไม่!?

ยังมีหนทาง...หรือไม่!?

ยังพอมีหนทางให้เริ่มใหม่ ถ้ามองมุมใหม่ๆ ลองเรียนรู้จากผู้ที่อยู่รอดแล้วนำมามาปรับใช้

KEY

POINTS

  • ชี้ให้เห็นว่าแม้ธุรกิจไทยจะเผชิญแรงกดดันจากการเมืองและการค้าโลก แต่ยังมีหนทางรอดโดยการเรียนรู้จากกรณีศึกษาของบริษัทที่ประสบความสำเร็จ
  • นำเสนอกลยุทธ์สำคัญคือการให้ความสำคัญกับคน ทั้งพนักงานและลูกค้า ควบคู่กับการรักษาองค์กรให้มีความยืดหยุ่นและสดใหม่อยู่เสมอ
  • ยกตัวอย่างธุรกิจชาไทยที่สร้างความแตกต่างโดยการเจาะตลาดพรีเมียม กล้าตั้งราคาสูง และเน้นคุณภาพเพื่อสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง แทนการแข่งขันด้านราคา
  • กระตุ้นให้ผู้ประกอบการไทยคิดนอกกรอบและมองหามุมมองใหม่ เพื่อนำมาปรับใช้และสร้างหนทางสู่ความสำเร็จในสถานการณ์ปัจจุบัน

Part.1:จาก เรื่อง“ถั่มทรัมป์” มาถึงเรื่อง“วุ้นเส้น”ให้เจ้าของกิจการและคนไทยตื่นเต้นได้ทุกวัน

โลกวุ่นวายขึ้นในเรื่องภาษีและการค้าเมื่อ ทรัมป์ขึ้นเป็นประธานาธิบดี และยังวุ่นวายไม่จบแบบเบ็ดเสร็จจริงๆจนกระทั่งปัจจุบัน

ประเทศไทยก็รับแรงกระแทกตรงนี้ไปเต็มๆ!

เพราะเมื่อ ถั่มทรัมป์ออกหน้าเจรจาให้หยุดยิง พร้อมเงื่อนไขภาษีมาล่อ จริงๆแล้วมีเงื่อนไขหลายตัวที่ไทยต้อง ทรุดตัวเมื่อทำตามในครั้งนี้

ยัง ยังไม่พอ เมื่อเราได้รัฐบาล นายกฝึกงาน เจอเสือเฒ่าอย่าง “วุ้นเส้น” ฮุนเซน

(ขอเป็นกำลังใจให้ทหารหาญทุกนาย รวมญาติของทหารเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ที่ทุกท่านยืนหยัดปกป้องผืนแผ่นดินไทยไม่ให้ใครเหยียบย่างมาอีก) วุ้นเส้นจอมเจ้าเล่ห์ที่ก้าวขึ้นมาสู่ความยิ่งใหญ่ได้ด้วยการหักหลังเขมรแดงพวกเดียวกันในสมัยร่วมอุดมการณ์

และเมื่อวุ้นเส้นก้าวขึ้นสู่อำนาจแล้ว ก็ทำลายล้างคู่แข่งทางการเมืองจนล้มหายตายจาก และคนิงอำนาจรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงปัจจุบัน

ผู้นำไทยก็ครองอำนาจรุ่นสู่รุ่น แต่เมื่อเจอการต่อสู้แบบพูดอย่างทำอย่าง ปลิ้นปล้อน เจ้าเล่ห์ของเสือเฒ่า เล่นเอาผู้นำเด็กฝึกงานเป๋ไปไม่เป็นโดนกระแทกกระทั้นเสียผู้เสียคนไปหลายเรื่อง

ถ้าไม่ได้ทหารผู้รักชาติมากกว่ารักผลประโยชน์ของครอบครัว เหมือนผู้นำบางคน ป่านนี้ชายแดนไมยคงถูกเขมรยึดไปแล้ว!

Part.2. จริงๆเล้ว โชคดี หรือ โชคร้าย เมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้!?

เลิกกังวลเรื่องทรัมป์กับวุ้นเส้นไปก่อน

เพราะยังไงต้องส่งผลกระทบแน่

มองในแง่ดี โชคดีมากแล้ว เพราะถ้าเป็นบริษัทขนาดใหญ่และขนาดกลางที่ทำมาค้าขายกับบริษัทต่างประเทศ จะต้องเจอข้อกำหนดเรื่องสิ่งแวดล้อมเรื่องต่างๆในการผลิตสินค้าอีกเพียบ ยังมีค่าใช้จ่ายอีกมากที่ต้องลงทุนตรงส่วนนี้

Part.3.จะถือเป็นโชคดี ถ้า...

ลองดูกรณีศึกษา บริษัทลอรีอัล ซึ่งอยู่มากว่า100 ปีและมีสาขาในไทย

เคล็ดลับอันแรก People People People

ซึ่งเป็นประโยคหลักที่ผู้ก่อตั้ง ลอรีอัล ให้ไว้ตั้งแต่100กว่าที่แล้วและบริษัทลอรีอัลบังคงยึดถือนำมาปฏิบัติจนถึงปัจจุบัน

ในมุมแรก ให้ความสำคัญกับคนทำงานไม่ใช่แค่คำพูด จนถึงปัจจุบันคนที่มาสมัครงานและผ่านการคัดสนรแต่ละขั้นตอนแล้ว CEO ยังมาพูดคุยเป็นคนสุดท้าย ไม่ใช่เรื่องเสียเวลา เพราะดีกว่ารับแบบลวกๆมาอยู่ได้ไม่นาน

ในมุมที่สอง ถึงแม้บริษัทจะมีฐานข้อมูลลูกค้าเชิงลึกมากมาย แต่บริษัทก็ยังเน้นไปพบและสัมผัสพบลูกค้าโดยตรง เช่น Ceo เดินทางไปเยี่ยมพบปะ พูดคุยกับลูกค้าที่ จ. ขอนแก่น

(ตรงจุดนี้ มีหลายแง่มุมที่ผู้ประกอบการไทยน่านำมาวิเคราะห์ ปรับใช้)

เคล็ดลับอันที่สอง ทำบริษัทให้ สดใหม่ตลอดเวลา อาจเป็นเพราะอยู่ในธุรกิจความงาม และมีวิวัยทัศน์เชิงกลยุทธ์จึงใช้และยึดหลักนี้

ทั้งวิธีการทำงานที่ ยืดหยุ่น ไม่ติดกรอบ

(ตรงจุดนี้ น่าคิดมากๆสำหรับผู้ประกอบการไทย เพราะบางทีก่อตั้งมา 10-20 ปีก็กลายเป็นบริษัทอุ้ยอ้าย ขั้นตอนเยอะ มากกว่าบริษัทที่อยู่มาหลายสิบปี

เรื่องแย่ๆเกิดขึ้นได้เร็ว เรื่องดีๆไม่มีทางเกิดขึ้นที่นี่กับบริษัทตกยุคอุ้ยอ้าย

Part.4.หรือ กรณีศึกษา

บริษัทชาไทยรุ่นใหม่ คุณภาพดี ราคาแพง ไม่สามารถขายราคาตลาดได้ ถึงแม้จะคุณภาพดี แต่ต้นทุนสูงไม่สามารถลงไปขายแข่งขันกับราคากลางๆหรือราคาถูกในตลาดได้

เลยเปลี่ยนปัญหาโดยเปิดบู๊ธที่ เอ็มควอเทียร์ (ซึ่งถือว่าใจกล้ามาก เพราะเป็นห้างระดับบน ค่าเช่าแพง แบรนด์ก็ไม่มีใครรู้จัก)

เมื่อที่ห้างเอ็มควอเทียร์เห็นว่ามาชายี่ห้อที่ไม่มีใครรู้จักนี้ ขายดี

ที่ห้างเลยชวนให้เปลี่ยนจากมาออกบู๊ธ เป็นมาเช่าพื้นที่ในเอ็มควอเทียร์

เจ้าของชาก็ใจถึง มาเช่าพื้นที่ในห้าง ก็เปิดแล้วก็ยังขายดี เป็นชาไทยที่ขายราคาแพงที่สุดในตอนนั้น แก้วละ 100 กว่าบาท เน้นรสชาต คุณภาพ แม้กระทั่งแก้วที่ถือออกจากร้าน ต้องภาคภูมิใจไม่แพ้ถือสตาร์บัคส์

เมื่อชาไทยขายดี ก็ยังต่อยอดกลิ่นชาไทยที่เป็นจุดเด่นของแบรนด์นี้ เป็นสินค้าอื่นในแบรนด์เดียวกันได้อย่างต่อเนื่อง

เจ้าของชาไทยที่ขายราคาระดับสูงถึงแม้จะมี Passion ในชาไทย แต่ก็แนะนำว่าอย่ายึดติดกับ Passion มากเกินไป ทำให้อยู่แต่กรอบตัวเอง

Part.5.อยากให้ผู้ประกอบการไทยลองคิดว่า

ถ้าเราจะเริ่มต้นทำบริษัทใหม่(อันที่จริงก็บริษัทเดิมนั่นแหละ)

เราจะเริ่มต้นแบบใด!? กลยุทธ์แบบใดที่อยู่นอกกรอบและยังไม่เคยมีใครทำบ้าง หรือเคยมีคนทำแล้วล้มเหลวแต่เราเห็นช่องโหว่ของคงามล้มเหลวนั้น นำมาปรับแก้และต่อยอดได้?

ยังพอมีหนทางให้เริ่มใหม่ ถ้ามองมุมใหม่ๆ ลองเรียนรู้จากผู้ที่อยู่รอดแล้วนำมามาปรับใช้ครับ.