ไปต่ออย่างไรดี ?

บทความที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ เป็นตอนสุดท้ายของปี พ.ศ.๒๕๖๘ เป็นช่วงเวลาที่หลายท่านกำลังเดินทาง บ้างก็เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ บ้างก็เดินทางท่องเที่ยวในประเทศ บ้างก็ใช้บริการพาหนะสาธารณะทั่วไป บ้างก็เดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว แต่ไม่ว่าพาหนะใดก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือสติ, ปัญญา และสมาธิ ต้องอยู่กับตัวตลอดเวลาที่เดินทาง
โลกในยุคปัจจุบันมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเสมอ แม้แต่เดินทางโดยเครื่องบินก็ยังมีเรื่องที่นึกไม่ถึง เช่น สัปดาห์ก่อนมีข่าวว่าสายการบินโลว์คอสต์ พาผู้โดยสารจากไทยมุ่งหน้าอินเดีย เมื่อไปถึงปลายทางพบว่า สายการบินไม่ได้นำกระเป๋าสัมภาระของผู้โดยสารทั้งหมดมาด้วย โดยอ้างเหตุผลว่าหากนำเอากระเป๋าของผู้โดยสารจำนวนมากติดมาด้วย จะทำให้เครื่องบินมีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงสูง ถึงขั้นที่อาจจะไม่สามารถเดินทางมาถึงปลายทางได้ ผู้โดยสารเกือบทั้งลำเครื่องบิน ที่โหลดกระเป๋ามากับใต้ท้องเครื่องบิน จึงต้องรอกระเป๋าที่จะถูกนำตามหลังมาอีก ๒ วัน
หรือข่าวเกี่ยวกับการเดินทางโดยเครื่องบิน จากต้นทางประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากไทย ไปฮ่องกง ซึ่งมักจะมีปัญหาการขโมยทรัพย์สินของผู้โดยสารเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แม้จะหนีไปใช้บริการชั้นธุรกิจ ก็ยังไม่วายที่จะเกิดปัญหาโดนขโมยทรัพย์สินจากคนร้าย ที่ทำตัวเป็นผู้โดยสารร่วมเที่ยวบินเดียวกัน
ยิ่งการเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวในประเทศไทย ก็ยิ่งมีข่าวที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นให้เห็นกันอยู่เสมอ เช่น เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาหมาด ๆ มีข่าวการยิงกันบริเวณทางด่วนตรงด่านประชาชื่น สาเหตุเบื้องต้นที่เป็นข่าวออกมาก็คือ เพียงแค่ขับรถปาดหน้ากันเพื่อแย่งกันเข้าช่องจ่ายเงิน จากนั้นคันผู้ก่อเหตุขับผ่านช่องจ่ายเงินออกมาก่อนแล้วมาชะลอความเร็วรออยู่ เมื่อรถของผู้เสียชีวิตออกจากช่องจ่ายเงินอีกช่องหนึ่งมา จึงโดนขับรถตีคู่ประกบแล้วยิงปืนใส่หลายนัด จนทำให้เสียชีวิตทันที ทั้งที่เป็นเรื่องที่เกิดจากปัญหาเล็กน้อยเท่านั้น
ผมจึงเตือนสติผู้ที่ขับรถในช่วงเทศกาลตลอดมาว่า สติ, ปัญญา, สมาธิ และขันติ ต้องอยู่กับตัวเสมอ อย่าให้อารมณ์เข้าครอบงำจิตใจ ต้องลดความโกรธลงให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ใครเผลอมาปาดหน้าเราก็คิดเสียว่าเขาอาจจะเพลิน หรือโกรธก็ให้คิดไว้ในใจว่า “ช่างแม่ง” หรือโกรธมากที่สุดก็คือแช่งเพียงแค่ว่า “เดี๋ยวก็ไปโดนรถคันอื่นปาดจนตกถนนหรือ พลิกคว่ำตาย” อย่าคิดไปแก้แค้นเอาคืนด้วยการขับปาดหน้าเขากลับ เพราะผลที่ได้อาจจะมีความเสียหายบานปลายจนคิดไม่ถึงก็เป็นได้
มีคนถามผมมาว่าการขับรถเดินทางไกลนั้น หากยางรั่วจะต้องทำอย่างไร และสามารถขับต่อไปยังอู่หรือร้านรับปะยางได้ไกลแค่ไหน เพราะผู้ถามแจ้งมาว่ารถของเขาใช้ยางแบบที่เรียกกันว่า “รันแฟลท” ซึ่งมีหลายคนแนะนำว่าสามารถขับต่อไปได้ แม้ลมภายในยางจะรั่วออกมาหมดแล้วก็ตาม
คำตอบของผมก็คือต่อให้เป็นยางรันแฟลท เมื่อยางรั่วหรือลมในยางไหลออกมาจนหมดแล้ว แม้ผู้ผลิตยางจะแจ้งว่าสามารถขับต่อไปได้ แต่สิ่งที่ควรทำก็คือ ขับด้วยความเร็วไม่เกิน ๖๐ กม./ชม. หลีกเลี่ยงการเลี้ยวไปมาบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการเบรกบ่อย ๆ รวมทั้งการออกตัวรถอย่างรุนแรงก็เป็นเรื่องที่ห้ามทำด้วย ระยะทางที่เหมาะสมกับการขับไปในสภาพที่ยางไม่มีลมนั้น ไม่ควรเกิน ๓๐ กม. หรือน้อยกว่านั้นเมื่อพบว่าสภาพของยางชำรุดมากเกินไป และควรเปิดหน้าต่างขับรถ เผื่อว่ามีกลิ่นเหม็นไหม้เกิดขึ้น จะได้จอดรถลงไปแก้ไขได้ทันท่วงที
ส่วนกรณีที่ยางรั่วและมียางอะไหล่ แต่เป็นยางอะไหล่แบบหน้ายางแคบกว่ายางติดรถ หรือที่เรียกกันว่าเป็นยางอะไหล่แบบ “คอมแพค ไทร์” กรณีเช่นนี้หากสภาพภายนอกของยางอะไหล่ไม่แตกลายงา ลมในยางยังมีอยู่เต็มที่ ก็สามารถขับต่อไปได้ด้วยความเร็วไม่ควรเกิน ๘๐ กม./ชม. และหลีกเลี่ยงการเบรกบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการใช้ความเร็วเปลี่ยนแปลงไปมา และไม่ควรเร่งออกตัวรวมถึงการเร่งแซง ที่ทำให้รถเพิ่มความเร็วสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
เช่นเดียวกันกับยางที่รั่วจนลมหมด แล้วแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ด้วยการใช้น้ำยาสารเคมีฉีดเข้าไปอุดรอยรั่ว กรณีเช่นนี้ก็ไม่ควรใช้ความเร็วสูงเกินกว่า ๘๐ กม./ชม. แต่สามารถขับไปได้ในระยะทางที่ไกลมากขึ้น โดยที่คนขับรถต้องหมั่นตรวจวัดแรงดันลมยางอยู่เสมอ เพราะสารเคมีที่ใช้อาจจะเสื่อมสภาพทำให้ไม่สามารถอุดรูรั่วได้เด็ดขาด
แต่ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ในเรื่องที่เกี่ยวกับยางรั่วด้วยวิธีการใดก็ตาม ผมจะมีข้อแนะนำตามท้ายทุกครั้งไปว่า
เมื่อเจอร้านปะยางหรือร้านขายยางร้านแรก ให้รีบเข้าไปซ่อมหรือเปลี่ยนยางทันทีที่ทำได้ เพราะจะทำให้เกิดความปลอดภัยในการใช้รถต่อไปได้มากกว่ากรณีตัวอย่างทั้งหมดที่ว่ามา
รถยนต์ที่นำยางอะไหล่มาใช้แทน หากยางอะไหล่เส้นนั้นถูกเก็บเอาไว้นานปีมาก ๆ ก็ไม่ควรใช้ความเร็วสูงอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงต้นของการขับรถหลังจากเปลี่ยนมาใช้ยางอะไหล่ ควรอุ่นเครื่องให้ยางปรับตัว ที่เรียกกันว่าขับรถแบบ “วอร์มยาง” คือความเร็วไม่เกิน ๘๐ กม./ชม. ไปสักระยะหนึ่ง หรือไม่น้อยกว่า ๑๐ กม. แล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มความเร็ว แต่ก็ต้องขับด้วยความระมัดระวังเพิ่มมากขึ้นกว่าใช้ยางติดรถปรกติ
จากคำแนะนำที่ผมว่ามาทั้งหมด อาจจะมีบางท่านไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร เพราะบางท่านอาจจะเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของน้ำยาอุดรูรั่ว หรือเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของยางอะไหล่ หรือเชื่อในสมรรถนะของยางแบบรันแฟลท จึงให้คำแนะนำหรือใช้ด้วยวิธีการที่ต่างจากที่ผมกล่าวมา ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น ผู้ขับรถสามารถเลือกใช้วิธีการตามที่แต่ละท่านจะเห็นสมควร เพราะผมแนะนำโดยยึดหลักการว่าด้วยความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดครับ
ท้ายสุดในวาระที่เป็นบทความตอนสุดท้ายของปี ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงดลบันดาลให้ทุกท่านประสบแต่ความสุขทั้งกายและใจ ประสบความเจริญในหน้าที่การงานและกิจการที่ทำ เดินทางไปไหนมาไหนขอให้ราบรื่นปลอดภัย ไปถึงจุดหมายปลายทางด้วยความสวัสดิภาพทุกครั้ง
และขอให้รถยนต์ที่ทุกท่านใช้งานอยู่ จงรับใช้ท่านต่อไปนานแสนนาน ไม่มีการสึกหรอที่เกินมาตรฐาน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายดูแลและค่าซ่อมบำรุงมากไปกว่าที่ควรจะเป็นตลอดไป ทั้งนี้อย่าลืมว่าท่านเองก็ต้องศึกษาหาข้อมูลในรถของท่านเอาไว้ด้วยนะครับ







