รถยนต์ไทยปีนี้

เผลอแป๊บเดียวก็จะถึงวันสิ้นสุดปีศักราชนี้แล้ว ในปี พ.ศ.๒๕๖๘ นี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นในประเทศไทยมากมาย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับความสูญเสียต่าง ๆ
ในส่วนที่เกี่ยวข้องเฉพาะกับรถยนต์ เห็นจะเป็นกรณีน้ำท่วมหนักที่ภาคใต้ หรือจำเพาะเจาะจงลงไปก็ต้องระบุว่า เป็นน้ำท่วมที่เกิดขึ้นที่หาดใหญ่ ด้วยความที่เป็นน้ำท่วมแบบฉับพลันทันใด และท่วมแบบไหลท่วมจากขอบชุมชนด้านนอก ล้อมบีบกระชับเข้าใจกลางชุมชนอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้อยู่อาศัยตายใจว่าปลอดภัย กว่าจะรู้ว่าอุทกภัยมาถึงตัวก็โยกย้ายไม่ทันแล้ว
ผู้ที่ติดตามข้อมูลและอยากจะโยกย้ายทรัพย์สินและครัวเรือนหนีออกมา ก็ติดขัดที่สภาพน้ำท่วมล้อมตัดทางหนีออกไปหมดทุกด้าน ทำให้ไม่สามารถหนีออกมาได้เช่นกัน ความเสียหายต่อบ้านเรือนและทรัพย์สินต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นมากกว่าน้ำท่วมในพื้นที่ภาคอื่น ๆ ของประเทศ จำนวนรถยนต์ที่ถูกน้ำท่วมขังจนจมอยู่ใต้น้ำนานหลายวัน จึงมีจำนวนเกือบหมื่นคัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัยประเมินว่า ค่าเสียหายของรถยนต์ที่ถูกน้ำท่วมที่หาดใหญ่ เฉพาะที่มีตัวเลขกระทบกับวงการประกันภัย อยู่ที่หลายหมื่นล้านบาททีเดียว
จากที่ติดตามในโลกอินเทอร์เน็ตทั้งหลาย พบว่าเจ้าของรถที่ออกมาสอบถามหาทางแก้ไขหรือซ่อมรถที่ถูกน้ำท่วมนั้น ส่วนใหญ่กังวลเรื่องการซ่อมที่บริษัทประกันภัยตีราคาประเมิน เพราะว่ารถยนต์ที่เสียหายมาก ๆ เป็นรถยนต์รุ่นใหม่ที่มีระบบไฟฟ้ามากมาย มีอุปกรณ์ที่สั่งการด้วยไฟฟ้าและอีเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก เพราะอุปกรณ์เหล่านั้นต้องเปลี่ยนใหม่มากกว่าที่จะซ่อมกลับมาใช้งาน
สิ่งสำคัญคือระบบสายไฟทั้งคันรถซึ่งมีความยาวรวมกันหลาย กม. หากไม่เปลี่ยนชุดสายไฟใหม่ทั้งหมด แม้ว่าระยะแรกของการซ่อมจะทำให้รถยนต์กลับมาใช้งานได้ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอีเล็กทรอนิกส์กลับมาใช้งานได้
แต่ไม่มีใครให้คำรับประกันได้ว่า หลังจากซ่อมและนำรถกลับไปใช้งานแล้ว หลังจากหมดระยะเวลารับประกันงานซ่อมแล้ว สายไฟที่จมน้ำสกปรกซึ่งเต็มไปด้วยโคลนเป็นเวลานานเหล่านั้น ฉนวนจะเสื่อมสภาพกรอบแตก หรือความชื้นที่ตกค้างอยู่ภายในสายไฟ จะทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรจนมีความเสียใหญ่กลับมาอีกหรือไม่
ตลาดรถยนต์ของประเทศไทยปีนี้ หากดูจากตัวเลขที่ปรากฏเป็นข่าว ก็ทำท่าว่าจะโงหัวขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย แต่ไม่รู้ว่าเมื่อถึงวันที่มีการส่งมอบและจดทะเบียนจริง จำนวนรถยนต์ทุกประเภทที่จำหน่ายกัน ภายในปี พ.ศ.๒๕๖๘ รวมกันแล้วจะถึง ๖ แสนคันหรือไม่
เพราะดูจากตัวเลขการจองรถยนต์ที่สื่อนำเสนอกัน มีข้อสังเกตว่าการจองรถยนต์ในช่วงปีนี้ทำได้ง่ายมาก บางยี่ห้อเพียงแค่ลงชื่อจองไว้ก่อน โดยไม่จำเป็นต้องวางเงินจองก็มี บางยี่ห้อวางเงินจองเพียงแค่ ๓,๐๐๐ บาท ก็สามารถทำได้แล้ว
ซึ่งการรับจองง่าย ๆ อย่างนี้อาจจะทำให้ผู้บริหารบริษัทรถยนต์ ได้รับการประเมินว่ามีความสามารถสูง สามารถทำให้รถยนต์ของตนเองได้รับความสนใจ จนมีผู้บริโภคมายื่นความจำนงจองกันจำนวนมาก ทำให้ผ่านการประเมินผลงานจากคณะกรรมการบริษัทไปได้อีก ๑ ปี
แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือเมื่อบริษัทแม่เห็นว่ามีตัวเลขการจองสูง จึงเร่งผลิตเพื่อส่งมอบให้ทันสถานการณ์ ครั้นผลิตรถยนต์ออกมาเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าผู้ที่ยื่นความจำนงจองรถเอาไว้ ปฏิเสธการรับรถด้วยเหตุผลต่าง ๆ บางส่วนก็ถูกสถาบันการเงินปฏิเสธการให้เครดิตสำหรับการซื้อในระบบเงินผ่อน รถยนต์ที่ผลิตออกมาจึงค้างสต็็อกอยู่เป็นจำนวนมาก
ผลที่ตามมาก็คือเมื่อมีรถยนต์ค้างสต็อกจำนวนมาก ผู้บริหารบริษัทรถยนต์นั้นก็จะหาวิธีจำหน่ายสินค้าออกมาให้ได้เร็วที่สุด วิธีการที่เห็นทำกันมากโดยเฉพาะในบริษัทรถยนต์สัญชาติจีน ซึ่งเห็นกันได้ชัดเจนในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ก็คือ การลดราคาจำหน่ายรถยนต์ลงมา และบางรุ่นบางยี่ห้อลดราคาลงมามากกว่าร้อยละสิบของราคาที่เปิดจำหน่ายในครั้งแรก บางรุ่นบางยี่ห้อลดราคาลงไปถึงกว่าร้อยละยี่สิบก็มีให้เห็นกันมาแล้ว
การลดราคาจำหน่ายของผู้ผลิตรถยนต์นั้น หากมองอย่างผิวเผินก็พอจะอ้างได้ว่า เป็นผลดีต่อผู้บริโภคที่จะได้ซื้อรถยนต์ในราคาที่ถูกลง แต่สำหรับผู้บริโภคที่ซื้อไปก่อนหน้า กลับกลายเป็นคนที่เสียรู้หรือโง่ที่โดนหลอกให้ซื้อก่อน เพราะรับรถยนต์ไปใช้งานยังไม่ทันถึง ๖ เดือน มูลค่าของตัวรถยนต์ก็จะลดลงมากมาย
บางคนซื้อรถยนต์มาในราคา ๑.๕ ล้านบาท หลังจากใช้งานรถยนต์ไปได้เพียงแค่ ๕ หรือ ๖ เดือน ผู้จำหน่ายประกาศลดราคาลงทันทีคันละ ๒ แสนบาท ทำให้มูลค่ารถยนต์ที่ตนเองครอบครอง เมื่อหักส่วนของมูลค่าที่ลดลงจากความเป็นรถยนต์จดทะเบียนแล้ว หรือต้องอยู่ในสภาพรถยนต์ใช้แล้ว โดยปรกติราคาค่าตัวรถยนต์ก็จะลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๕ อยู่แล้ว ทันทีที่บริษัทผู้จำหน่ายประกาศลดราคาจำหน่ายลงอีกร้อยละ ๑๕ มูลค่าของรถยนต์คันนั้นๆ จะลดลงไปทันทีประมาณร้อยละ ๓๐ ขึ้นไป โดยเป็นร้อยละ ๓๐ จากราคาใหม่ที่ประกาศลดลงมาแล้ว
ซึ่งจากกรณีสมมุติดังกล่าวนั้น หากผู้ซื้อรถยนต์ซื้อมาด้วยระบบเงินผ่อน ต่อให้ปล่อยรถยนต์คันนั้นให้สถาบันการเงินยึดคืนไป ก็ยังคงต้องจ่ายค่าส่วนต่างของรถยนต์ ที่สถาบันการเงินยึดและนำไปขายต่ออยู่อีกไม่น้อย หรือเท่ากับว่าขาดทุนราคารถยนต์ในมือไปทันทีนั่นเอง
การแข่งขันกันลดราคาจำหน่ายรถยนต์ลงมาก ๆ เช่นที่เกิดมา ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคที่หลงซื้อรถยนต์ไปแล้วเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบในวงกว้างต่อสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้รถยนต์นั้น ส่งผลกระทบต่อบริษัทประกันภัยที่รับประกันรถยนต์นั้น และส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ใช้แล้วอย่างมากตามมาด้วย
หากภาครัฐไม่ยื่นมือเข้ามาเพื่อออกมาตรการควบคุมให้ชัดเจน ต่อไปธุรกิจรถยนต์ที่เคยทำรายได้ให้กับประเทศ ในแง่ของการเก็บภาษีเป็นจำนวนมาก ก็จะค่อยๆ ทยอยกันล้มหายตายจากไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วผู้ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดก็คือผู้บริโภคนั่นเองครับ







