จอดดีกว่าครับ

จอดดีกว่าครับ

รถยนต์สมัยใหม่ในปัจจุบันนี้ ผู้ผลิตได้ติดตั้งอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยมาให้มากมาย และยังมีระบบตรวจและเตือนเพื่อให้คนขับรถได้รับรู้สถานะด้วย

การเตือนก็มีทั้งเป็นรูปภาพปรากฏที่หน้าจอ เป็นไฟสีต่าง ๆ และบางครั้งก็มีการเตือนแบบเสียง หรืออาจจะมี ๒ หรือ ๓ อย่างรวมกัน เพื่อย้ำเตือนถึงระดับความอันตราย

อุปกรณ์หรือระบบการตรวจและเตือนที่ว่ามาทั้งหมดนั้น ผู้ผลิตจะบอกถึงวิธีการใช้งาน และวิธีการที่ต้องทำเมื่อมีการเตือนเกิดขึ้น ว่าผู้ขับขี่ต้องทำอย่างไรต่อไป หากไม่ทำตามคำแนะนำจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือ ยังมีผู้ใช้รถหรือที่ทำหน้าที่ขับรถจำนวนมาก ตั้งคำถามเกี่ยวกับไฟเตือนหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ เป็นประจำ และท้ายคำถามเหล่านั้นมักจะมีคำถามต่อทำนองที่ว่า “ยังใช้รถต่อไปได้อีกหรือไม่”

วันนี้ผมจะมาเล่าสู่กันฟังว่า หากท่านขับรถไปแล้วมีอาการต่าง ๆ เกิดขึ้น หรือมีสัญญาณเตือนใดเกิดขึ้น ท่านควรจะต้องจอดรถหรือนำรถไปให้ช่างตรวจสอบ ไม่ควรใช้งานรถต่อไป เพราะอาจจะทำให้เกิดความเสียหายลุกลาม หรืออาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุขณะใช้งานขึ้นมาได้

ไฟเตือนอย่างแรกคือเมื่อท่านสตาร์ทเครื่องยนต์ หรือพร้อมที่จะนำรถเคลื่อนที่ออกไป หากมีเสียงสัญญาณเตือน หรือมีไฟเตือนว่ามีสิ่งกีดขวางอยู่ใกล้ตัวรถ จงอย่ารีบร้อนนำรถเคลื่อนที่ออกไป ให้ตรวจสอบให้แน่ชัดว่าสิ่งกีดขวางนั้น ไม่ใช่คนหรือสิ่งมีชีวิตอื่น และไม่ใช่สิ่งกีดขวางที่จะทำให้เกิดการชนและเสียหายขึ้นมาได้ การตรวจสอบอาจจะทำด้วยการเปิดกล้องรอบคันเพื่อตรวจสอบ หรือเพื่อความมั่นใจก็เดินลงไปตรวจดูรอบรถสักหนึ่งรอบ หรือจะก้มมองไปที่ใต้ท้องรถด้วยก็จะยิ่งดีมากขึ้นไปอีก

ถัดมาก็คือเมื่อมีไฟเตือนรูปประตูรถ หรือฝากระโปรงรถเกิดขึ้นที่หน้าปัด ห้ามนำรถเคลื่อนที่ออกไปเป็นอันขาด ต้องลงไปตรวจสอบดูว่าประตูบานไหน หรือฝากระโปรงหน้าหรือหลังที่ปิดไม่สนิท หากไฟสัญญาณเตือนมีการแจ้งตำแหน่งเอาไว้ด้วย ก็จะยิ่งเป็นการง่ายต่อการตรวจสอบ และแก้ไขด้วยการปิดประตูหรือฝากระโปรงให้แน่นสนิท

ไฟเตือนระดับน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อติดขึ้นมา ต้องทำการตรวจสอบให้แน่ใจว่า ยังมีเชื้อเพลิงเหลือในปริมาณที่เพียงพอ ต่อการนำรถไปยังปั๊มเพื่อเติมเชื้อเพลิงกลับคืนถัง และในกรณีที่มีสัญญาณไฟเตือนรูปกาน้ำมันเครื่องเกิดขึ้น ให้ดับเครื่องยนต์แล้วทำการวัดปริมาณน้ำมันเครื่อง ว่ามีเพียงพอสำหรับการหล่อลื่น หรือมิเช่นนั้นก็ทำการเติมน้ำมันเครื่องใหม่ลงไป อย่าดันทุรังใช้งานรถต่อไป ทั้งที่ระดับปริมาณน้ำมันเครื่องต่ำ เพราะอาจจะทำให้เกิดความเสียหายต่อเครื่องยนต์ ซึ่งจะมีค่าซ่อมบำรุงสูงมากทีเดียว

ไฟเตือนที่พบได้บ่อยที่สุดและมีคนถามมากที่สุด คือไฟเตือนรูปยางและมีเครื่องหมายตกใจแทรกอยู่กลางยาง หากมีไฟเตือนดังกล่าวปรากฏขึ้นที่หน้าปัด ให้ลงไปทำการตรวจวัดแรงดันลมยางด้วยเกจ์วัดลมยางที่ติดรถเอาไว้ หรืออย่างน้อยหากไม่มีเกจ์วัดลมยางติดรถ ก็ต้องลงไปตรวจดูด้วยสายตาให้แน่ใจว่า ไม่มียางที่ล้อใดล้อหนึ่งแบนจนเกิดความเสียหาย และแม้จะดูด้วยสายตาแล้วว่ายังขับต่อได้ หากไปถึงสถานที่ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ เช่น ปั๊มน้ำมันที่มีบริการเติมลมและตรวจวัดลมยาง หรือร้านจำหน่ายและรับปะยางทั่วไป ก็ควรให้ช่างตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มียางเส้นใดเส้นหนึ่งรั่ว จนอาจจะทำให้เกิดปัญหาระหว่างการเดินทาง

ในกรณีที่ไฟเตือนเกิดขึ้นที่หน้าปัดเป็นรูปเครื่องยนต์ กรณีเช่นนี้มีทั้งยังสามารถขับรถต่อไปได้สักระยะหนึ่ง และไม่สามารถขับรถต่อไปได้เลย เพราะอาจจะทำให้การเสียหายลุกลามใหญ่โตได้ ดังนั้นหากมีไฟรูปเครื่องยนต์เกิดขึ้นที่หน้าปัด จึงควรนำรถไปให้ช่างทำการตรวจสอบโดยเร็ว และสำหรับกรณีที่ไฟรูปเบรกมือเตือนขึ้นมา ต้องรีบตรวจสอบดูว่าระบบเบรกมือค้างอยู่หรือไม่ เพราะหากขับรถในขณะที่เบรกมือค้างอยู่ จะทำให้ลูกปืนล้อเสียหาย หรือบางครั้งเกิดไฟลุกไหม้รถขึ้นมาได้

แม้ในรถรุ่นใหม่ ๆ ที่ใช้ระบบเบรกมือไฟฟ้าจะตัดการทำงานของเบรกมือออกไปโดยอัตโนมัติ เมื่อผู้ขับรถทำการโยกคันเกียร์ไปอยู่ตำแหน่งขับเคลื่อน ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง D หรือตำแหน่ง R ก็ตาม ผู้ขับรถก็ยังควรจะต้องทำการตรวจดูว่า น้ำมันเบรกในกระปุกยุบลงไปมากจนต่ำกว่าระดับขีดล่างหรือไม่ เพราะผู้ผลิตรถยนต์หลายรายใช้ไฟเตือนร่วมกัน ระหว่างเบรกมือและระดับน้ำมันเบรก

สำหรับอาการอื่น ๆ ที่ไม่มีไฟสัญญาณเตือน เช่น เมื่อเบรกแล้วรถมีอาการเซแฉลบซ้ายหรือขวา หากเกิดขึ้นมาในขณะใช้งาน อย่างน้อยก็ควรตรวจดูว่าแรงดันลมยางในล้อทั้ง ๔ อยู่ในระดับปรกติ อย่างน้อยในล้อหน้าซ้ายและขวาต้องมีลมยางเท่ากัน และล้อหลังซ้ายและขวาก็ต้องมีลมยางเท่ากันเช่นกัน หากตรวจแล้วว่ามีแรงดันลมยางถูกต้อง แต่รถยังมีอาการเซหรือแฉลบขณะที่เบรกทุกครั้ง ก็ต้องไปให้ช่างทำการตรวจสอบระบบช่วงล่าง เช่นช๊อกแอบซอบเบอร์ว่ายังทำงานเป็นปรกติหรือไม่

หรือในกรณีที่ขับรถไปแล้วรู้สึกได้ว่าพวงมาลัยสั่น อาการอย่างนี้ก็ต้องรีบทำการตรวจสอบ เพราะอาจจะมีสาเหตุมาจากมีนอตล้อคลายตัว ทำให้ล้อใดล้อหนึ่งเริ่มแกว่งหรือคลอน อาจจะทำให้ล้อหลุดในขณะรถวิ่งอยู่ได้ หรืออาจจะเกิดจากคันชักคันส่งที่เกี่ยวข้องกับพวงมาลัยหลวม จนทำให้ไม่สามารถบังคับรถให้เลี้ยวไปตามที่ต้องการได้เช่นกัน

เมื่อเบรกรถแล้วมีเสียงดังคล้ายโลหะเสียดสีกัน หรือเมื่อเบรกแล้วยังมีการลื่นไถลต่อ ไม่สามารถหยุดรถในระยะปรกติ ต้องรีบนำรถไปให้ช่างตรวจสอบระบบเบรกโดยเร็ว และเมื่อเกจ์วัดความร้อนสูงขึ้นมากกว่าปรกติ ก็ต้องรีบจอดรถเพื่อทำการตรวจสอบทันทีครับ