เทคโนโลยีทันสมัย

ผมเป็นคนแก่หัวโบราณที่ยอมรับว่าโง่กับเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ สาเหตุมาจากสมองที่ค่อนข้างจะช้าผกผันกับวัยที่เพิ่มขึ้น
อีกทั้งรู้สึกขี้เกียจจำอะไรใหม่ ๆ เพราะฉะนั้นเมื่อเจอเครื่องมือเครื่องใช้อะไรที่มีเทคโนโลยีมาก ๆ ผมก็จะพยายามหลีกเลี่ยง หรือถ้าต้องเอามาใช้งานเพราะหลีกไม่ได้ ผมก็จะพยายามจดจำเอาเฉพาะส่วนที่จำเป็นต่อการใช้งานจริง ๆ อะไรที่เป็นเพียงแค่องค์ประกอบ ผมก็จะทำเท่าที่พอทำได้ หรือที่สุดก็ไม่ใช้อุปกรณ์นั้นเสียเลย
ตัวอย่างเช่น เรื่องของรถยนต์ยุคใหม่ ๆ ที่มีแอปพลิเคชั่นมากมาย มีระบบนั่นระบบนี่ทั้งที่มีประโยชน์ต่อการใช้งาน และมีเป็นแอปพลิเคชั่นเพื่อความบันเทิงหรือเพื่อความสะดวกเล็ก ๆ น้อย ๆ ในกรณีอย่างนี้ผมจะใช้งานเฉพาะที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อน ส่วนระบบหรือแอปพลิเคชั่นเพื่อความบันเทิงผมจะให้ความใส่ใจน้อยลง
แม้แต่ระบบทันสมัยบางอย่างที่เลือกเปิดใช้งานหรือปิดการทำงานได้ หลายครั้งผมก็เลือกที่จะปิดการทำงานของระบบไป เพราะความไม่ไว้ใจในระบบอิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ ว่าจะทนทานต่อแรงกระแทกและสภาพอากาศของประเทศไทย ที่แตกต่างไปจากประเทศผู้ให้กำเนิดระบบเหล่านั้นได้หรือไม่ ด้วยว่าหลายครั้งที่มีข่าวรถยนต์เกิดอุบัติเหตุ และมีการคาดเดาว่าน่าจะเกิดจากระบบต่าง ๆ ทำงานผิดพลาด
ระบบทันสมัยในรถยนต์ที่ผมเลือกจะปิดการทำงานเสมอ เช่น ระบบออโต้สตาร์ตสต๊อปหรือระบบตัดการทำงานของเครื่องยนต์ โดยจะตัดการทำงานหรือทำให้เครื่องยนต์ดับลง เมื่อผู้ขับเหยียบเบรกให้รถจอดนิ่ง ๆ อยู่ในระยะเวลาสั้น ๆ ตามที่ผู้ผลิตกำหนด เหตุผลที่เลือกปิดเพราะว่า ในความคิดของผม ระบบนี้เกิดขึ้นมาเพื่อลดมลพิษจากไอเสียตามข้อกฎหมายของหลายประเทศ โดยใช้วิธีการวัดจากการจำลองสภาพการใช้งานจริง เพราะฉะนั้นเมื่อเครื่องยนต์ดับลงไป มลพิษจากไอเสียก็จะมีค่าเป็นศูนย์ และเมื่อเอามาเฉลี่ยตามระยะทางหรือระยะเวลาการใช้งาน ตัวเลขมลพิษก็ย่อมต่ำลงเป็นธรรมดา
แต่ในทางเทคนิคเครื่องยนต์แล้ว ผมเห็นว่าการที่เครื่องยนต์ดับ ๆ ติด ๆ นั้นมีข้อเสียเช่นกัน ประการแรกก็คือหากเป็นการดับ ๆติด ๆ ถี่ ๆ ก็จะทำให้มีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น เพราะในขณะที่เครื่องยนต์สตาร์ตนั้นจะมีการบริโภคน้ำมันมากกว่าเครื่องยนต์ทำงานอยู่ในรอบเดินเบา ประการถัดมาก็คืออายุการใช้งานของแบตเตอรี่จะสั้นลง เพราะการสตาร์ตเครื่องยนต์แต่ละครั้ง กำลังไฟในแบตเตอรี่จะถูกกระชากออกมาใช้งานมากกว่าปรกติ เมื่อถูกดึงหรือกระชากบ่อย ๆ อายุของแบตเตอรี่ก็ย่อมสั้นลง ทั้งนี้รวมไปถึงอายุของมอเตอร์สตาร์ตก็สั้นลง ตามจำนวนครั้งของการสตาร์ตเครื่องยนต์ด้วย
อีกระบบหนึ่งที่หากปิดการทำงานได้ ผมก็เลือกที่จะปิดการทำงานของมันไปทุกครั้ง นั่นคือระบบออโต้เบรกโฮลด์ เพราะผมไม่ไว้ใจระบบว่าจะสามารถล็อกเบรกให้ทำงานได้ตลอด ซึ่งในชีวิตประจำวันที่เราต้องพบกันบนท้องถนน หลายครั้งที่พบว่ามีรถยนต์บรรทุกขนาดใหญ่แล่นผ่านมา แล้วทำให้เกิดแรงสะเทือนมาถึงตัวรถของเราที่จอดอยู่ ผมเกรงว่าหากมีแรงสะเทือนคล้ายกันนั้นเกิดขึ้น ทำให้มีการสั่งการอัตโนมัติว่ารถกำลังเคลื่อนที่ จึงทำให้ระบบล็อกเบรกหรือออโต้เบรกโฮลด์ปลดการทำงาน รถของเราก็จะไหลหรือเคลื่อนที่ไปชนสิ่งกีดขวางหรือรถที่จอดด้านหน้าได้
ระบบที่เรียกกันในภาษาเทคนิคว่าระบบอะแดปทีฟ ครูส คอนโทรล และสต็อปแอนด์โก เป็นอีกระบบหนึ่งที่ผมปิดการทำงานลงเสมอหากสามารถทำได้ เพราะผมกลัวว่าการวัดระยะห่างจากรถคันหน้าจะผิดพลาด แล้วทำให้เกิดการชนกันเกิดขึ้น หรือบางครั้งมีเหตุสุดวิสัยรถก็จะเบรกกะทันหันจนเกิดอันตรายขึ้นมา ทั้งนี้หากผมเปิดระบบควบคุมความเร็วคงที่ ผมก็จะเบรกด้วยตนเองเมื่อเห็นว่าระยะห่างจากรถคันหน้าใกล้เข้ามา ผมจะไม่รอให้ระบบอัตโนมัติทำงาน เพราะกลัวว่าจะผิดพลาดขึ้นมานั่นเอง
ตัวอย่างที่ยกมากล่าวนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบทันสมัยในรถยนต์ ที่ทำให้ผมไม่ไว้วางใจในการทำงาน ซึ่งจะเห็นได้ว่าเหตุผลของผมจะเกี่ยวเนื่องกับความปลอดภัยเป็นสำคัญ ซึ่งยังมีระบบอื่นอีกหลายอย่างที่คนหัวโบราณอย่างผม ยังเกรงว่าหากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น จะส่งผลเสียหายใหญ่หลวงตามมา หรืออาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุจนถึงแก่ชีวิตได้
รถยนต์ปัจจุบันนี้จำนวนมากที่มีระบบเปิดฝากระโปรงท้ายด้วยไฟฟ้า ส่วนใหญ่เพียงแค่ใช้เท้ากวาดเข้าไปที่ใต้ท้องรถตรงจุดที่มีอุปกรณ์อ่านค่าติดตั้งอยู่ แล้วฝากระโปรงท้ายรถก็จะเปิดขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่จะมีใครตั้งข้อสังเกตหรือไม่ว่า ทำไมระบบที่อำนวยความสะดวกเช่นนี้ จึงไม่มีการติดตั้งที่ฝากระโปรงหน้าแม้แต่ยี่ห้อเดียว
ในความคิดของผมนั้นเห็นว่าหากมีความผิดพลาดจากการอ่านค่าใด ๆ ก็ดี ถ้าฝากระโปรงท้ายเปิดขึ้นมาขณะที่รถวิ่งอยู่ ก็จะไม่มีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้น แต่ในทำนองเดียวกันหากฝากระโปรงหน้าเปิดขึ้นขณะรถวิ่ง ผู้ขับก็จะไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้ และจะทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาได้ ผู้ผลิตรถยนต์จึงไม่ต้องการเสี่ยง ที่จะติดตั้งระบบอัตโนมัติดังกล่าวกับฝากระโปรงหน้า และยังใช้ระบบกลไก ๒ ชั้นที่บังคับด้วยมือแบบดั้งเดิมอยู่ ไม่ว่ากับรถยนต์ทันสมัยหรือมีราคาแพงเพียงใดก็ตาม
ฝากระโปรงหน้ารถจึงยังคงใช้สลักดึงจากภายในรถ ให้เปิดเผยอขึ้นมาระดับหนึ่ง แต่ยังคงติดล็อกจากสลักในระดับที่สองอยู่ ซึ่งการปลดล็อกในระดับที่ ๒ นี้ ยังคงต้องให้คนขับรถลงมาเอามือควานเข้าไปปลดล็อกอีกขั้นตอนหนึ่ง จึงจะสามารถเปิดฝากระโปรงรถขึ้นมาได้ เป็นระบบการทำงานที่ป้องกันการผิดพลาดอย่างเต็มที่นั่นเอง
เมื่อเปิดฝากระโปรงหน้ารถขึ้นมาเพื่อการใดก็ดี เวลาที่จะต้องปิดฝากระโปรงหน้ารถลงไปให้สนิท ให้ใช้วิธีการยกฝากระโปรงหน้าสูงจากระดับขอบประมาณ ๑ ฟุต แล้วปล่อยมือให้น้ำหนักของฝากระโปรงทิ้งตัวลงไปกระแทก มันจะปิดได้สนิทพอดี
อย่าใช้วิธีการค่อย ๆ วางฝากระโปรงลงไป แล้วใช้สันมือกดลงน้ำหนักเพื่อปิด เพราะอาจจะทำให้เกิดรอยบุบบนฝากระโปรงขึ้นมาได้ครับ







