เหตุที่รถไฟไหม้

ผมจำได้ว่าเพิ่งจะเขียนเรื่องรถยนต์ไฟไหม้ไปไม่นาน แต่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวรถยนต์ไฟไหม้เกิดขึ้น โดยเจ้าของรถยนต์เป็นนักการเมืองชื่อดัง ได้เขียนลงเฟซบุ๊กของตัวเองทำนองว่า รถยนต์ประเภทไฮบริดยี่ห้อ ฮาวาล ที่จอดอยู่ในรั้วบ้านของตนเอง เกิดไฟลุกไหม้ขึ้นในช่วงกลางดึก
เจ้าของรถแสดงความเห็นทำนองว่า รถจอดอยู่ดี ๆ และไม่ได้เสียบปลั๊กเพื่อชาร์จ แต่เกิดไฟไหม้ขึ้นมาจึงคิดว่า น่าจะมาจากความที่เป็นรถยนต์ไฮบริด
หลังจากที่ข้อมูลดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ก็มีคนแสดงความกังวลกันมาก เพราะเชื่อความคิดเห็นของเจ้าของรถ ซึ่งเป็นถึงนักการเมืองผู้มีชื่อเสียง จึงมีเสียงลือขยายความกันต่อ ๆ ไปว่า รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริดนั้น มีความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้สูงมากอย่างยิ่ง ซึ่งข่าวลือดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่ผมค่อนข้างยุ่งอยู่กับงานประจำที่ต้องทำอยู่ และเมื่อผมพอมีเวลาว่างในช่วงดึก ๆ หลังจากเสร็จงานแล้ว จึงได้แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า สาเหตุของการเกิดไฟไหม้ที่เจ้าของรถคิดเองนั้น มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นต่ำมาก ๆ เพราะการที่อยู่ ๆรถยนต์จะเกิดไฟลุกไหม้ขึ้นมานั้น มีสาเหตุมาจากหลายประการด้วยกัน
เมื่อมีการลือกันไปในวงกว้าง จนผู้ใช้รถยนต์จำนวนไม่น้อยหวาดวิตกขึ้นมา ผมจึงขอเอาเรื่องอย่างนี้มาเขียนเพื่อขยายความอีกครั้ง คนใช้รถยนต์ไฟฟ้าและคนใช้รถยนต์ทั่วไป จะได้ไม่ต้องวิตกจริตจนเสียขวัญ เพราะการที่รถยนต์จะเกิดไฟลุกไหม้ขึ้นมานั้น มันจะต้องมีตามมาอีกอย่างแน่นอน โดยสาเหตุหรือต้นเหตุที่ทำให้เกิด ก็มีที่มาที่ไปที่หลายหลาก บางสาเหตุเราก็สามารถป้องกันได้ บางสาเหตุเราสามารถควบคุมความเสียหายได้ ซึ่งผมจะได้เขียนเอาไว้ดังต่อไปนี้
สิ่งที่ผมเป็นห่วงที่สุดคือทัศนคติหรือวิธีคิดของคนใช้รถ เพราะมีคนใช้รถจำนวนหนึ่งที่แม้ว่าจะได้กลิ่นเหม็นไหม้เกิดขึ้น แต่ก็ยังมีการใช้รถยนต์ต่อไปโดยหวั่นเกรงอันตราย โดยสังเกตได้จากมีคำถามเกิดขึ้นบ่อยครั้งว่า “ได้กลิ่นเหม็นไหม้เกิดขึ้น อยากทราบว่ายังสามารถใช้รถต่อไปได้หรือไม่” ซึ่งกรณีที่ได้กลิ่นเหม็นไหม้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นเหม็นไหม้ในลักษณะใดก็ตาม ต้องหยุดใช้รถทันทีและทำการตรวจสอบหาจุดต้นตอที่เกิดกลิ่นไหม้ และต้องแยกแยะให้ได้ว่าลักษณะของกลิ่นไหม้นั้นมาจากวัสดุอะไร
เพราะกลิ่นไหม้ที่เกิดจากพลาสติก, เชื้อเพลิง, เบรก ฯลฯ จะแตกต่างกันชัดเจน ซึ่งหากจำแนกลักษณะของกลิ่นได้ ก็จะทำให้สามารถหาจุดต้นกำเนิดของกลิ่นได้ไม่ยาก โดยหากกลิ่นไหม้เป็นลักษณะเหม็นเอียน แบบเดียวกับผ้าเบรกหรือผ้าคลัทช์ไหม้ กลิ่นไหม้แบบนี้ควรจอดรถจนกว่าเบรกหรือผ้าเบรกจะมีอุณหภูมิลดลง แต่ห้ามนำเอาน้ำไปราดที่จานเบรกเพื่อลดความร้อนเป็นอันขาด เพราะจะทำให้จานเบรกชำรุดและผ้าเบรกเกิดการแยกล่อนออกจากกัน เมื่ออุณหภูมิที่ผ้าเบรกและจานเบรกลดลงแล้ว ก็สามารถขับรถต่อไปได้ด้วยความระมัดระวัง กล่าวคือไม่ใช้ความเร็วสูง ๆ และหลีกเลี่ยงการใช้เบรกถี่ ๆ และไม่ใช้วิธีการที่เรียกว่าเลียเบรก เมื่อถึงจุดหมายปลายทางแล้วต้องนำรถไปตรวจสอบระบบเบรกอย่างเร่งด่วน
กลิ่นไหม้และความร้อนที่เกิดขึ้นบริเวณระบบเบรกนี้ ส่วนมากเกิดจากการใช้เบรกยาวต่อเนื่อง หรือเกิดจากการตั้งผ้าเบรกชิดกับจานเบรกเกินไป เมื่อมีความร้อนจากการใช้เบรกเกิดขึ้น น้ำมันเบรกขยายตัวแล้วไปดันให้ผ้าเบรกชิดกับจานเบรกเกินไปจนทำให้เบรกติด เมื่อมีความร้อนสูงเกิดที่บริเวณเบรก ความร้อนก็จะถูกถ่ายทอดไปต่อยังดุมล้อ และทำให้สารหล่อลื่นหรือจาระบีไหลเยิ้มออกมา เมื่อสารหล่อลื่นหรือจาระบีมาสัมผัสกับความร้อนสูง ก็กลายเป็นไฟลุกไหม้ขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นเมื่อได้กลิ่นเหม็นไหม้จากระบบเบรก จึงต้องจอดรถรอให้ความร้อนลดลงไปเสียก่อนจึงจะเดินทางต่อได้
ต้นเหตุของไฟไหม้รถอีกประการหนึ่งคือ เกิดจากไฟฟ้าในรถยนต์ลัดวงจร ซึ่งพบได้บ่อยมากในประเทศไทย สาเหตุมาจากหนูกัดฉนวนหุ้มสายไฟบ้าง เกิดจากสายไฟถูกติดตั้งมาไม่ถูกต้อง ทำให้พันกันเป็นเกลียวจนฉนวนหุ้มปริแตกบ้าง หรือเกิดจากฉนวนหุ้มเสื่อมสภาพจากอายุการใช้งาน หรือเกิดจากการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มเติมแบบผิดวิธี หรือเกิดจากความร้อนของอากาศในบ้านเรา ซึ่งสาเหตุหลังนี้พบบ่อยในรถยนต์ที่ผลิตมาภายใต้คุณภาพของประเทศที่มีอากาศหนาวเย็น
เมื่อเกิดไฟฟ้าลัดวงจรแล้วฟิวส์ตัดไม่ทำหน้าที่ตัดวงจรไฟฟ้าออกไป ก็จะมีความร้อนสะสมมากขึ้นเรื่อย จนท้ายที่สุดฉนวนหุ้มสายไฟที่ส่วนมากทำมาจากพลาสติก เกิดลุกไหม้เพราะความร้อนขึ้นมา แล้วไฟก็ลามไปทั่วทั้งคันรถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสายไฟที่เกิดความร้อนสูงจากการลัดวงจรของระบบไฟฟ้า มีจุดเกิดเหตุอยู่ภายในบริเวณห้องเครื่อง ซึ่งมีสารไวไฟอยู่บริเวณนั้นจำนวนมาก ไฟที่ลุกไหม้ก็จะลามขึ้นอย่างรวดเร็ว
สาเหตุของการเกิดไฟไหม้อีกประการหนึ่งก็คือ เกิดการลุกไหม้ขึ้นมาจากความเผอเรอของเจ้าของรถ เช่น วางสิ่งของที่ไวไฟหรือติดไฟง่าย เอาไว้ในจุดที่ต้องสัมผัสกับความร้อน เช่นมีการวางไฟแช๊คเอาไว้ในบริเวณแผงหน้าปัดด้านหน้ารถ เมื่อจอดรถตากแดดเป็นเวลานาน ๆ ความร้อนจากแสงแดดจึงทำให้ไฟแช๊กแก๊สระเบิดจนไฟลุกไหม้ขึ้นมาได้
ส่วนจุดเกิดเหตุของไฟไหม้ที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด คือ การเกิดไฟไหม้ในห้องเครื่องยนต์ เพราะในห้องเครื่องเป็นจุดที่มีความร้อนสูงที่สุดของรถยนต์ และมีสารไวไฟอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง, แก๊ส, น้ำมันเครื่อง, ชิ้นส่วนที่เป็นยางทั้งหลายเป็นต้น เมื่อมีการรั่วซึมของสารไวไฟบางอย่าง เช่นน้ำมันเชื้อเพลิง หรือแก๊สที่ใช้กับเครื่องยนต์ โดยน้ำมันเชื้อเพลิงหรือแก๊สที่รั่วออกมา ไหลหรือฉีดกระเซ็นไปโดนกับจุดที่มีความร้อนสูงมาก เช่นบริเวณเสื้อสูบหรือท่อไอเสียส่วนบน หรือไหลกระจายไปสัมผัสกับจุดที่มีประกายไฟเกิดขึ้น เช่น ตามข้อต่อของสายไฟหรือที่หัวเทียน ก็เกิดไฟลุกไหม้ลามอย่างรวดเร็วขึ้นมาได้
เพราะฉะนั้นหากได้กลิ่นเหม็นไหม้ผิดปรกติขึ้นมา ให้หยุดใช้รถทันทีเพื่อทำการตรวจสอบหาต้นสายปลายเหตุให้แน่ใจ อย่าชะล่าใจใช้รถไปจนเกิดไฟลุกไหม้ขึ้นมาเป็นอันขาดครับ







