ขับรถลุยน้ำ

ผมเพิ่งจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องน้ำท่วมไปหมาด ๆ ปรากฏว่าปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวน้ำท่วมที่ตลาดในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และมีรถยนต์เสียหายจากน้ำท่วมเกิดขึ้นอีกแล้ว
และในช่วงเวลาถัดมา ผมมีโอกาสได้เห็นคลิปจากโซเชียลมีเดีย เป็นภาพของรถยนต์อยู่บนถนนขึ้นเขาเป็นทางคดโค้งไปมา ขอบทางด้านหนึ่งเป็นเขาสูงชัน ขอบทางอีกด้านหนึ่งเป็นเหวลึกมาก ภาพจากในคลิปแสดงให้เห็นว่าเป็นช่วงที่ฝนตกหนัก มีรถยนต์เก๋งนั่งหนึ่งคันและรถยนต์ปิกอัพหนึ่งคัน จอดรถอยู่บนถนนที่มีน้ำท่วม ซึ่งดูว่าระดับน้ำที่ท่วมนั้นน่าจะไม่สูงมากนัก
ภาพต่อมาก็คือมีรถยนต์แบบ เอสยูวี หนึ่งคัน แล่นมาถึงบริเวณดังกล่าว แต่ไม่ยอมหยุดรอดูสถานการณ์เหมือนรถสองคันแรก คนขับรถเอสยูวีกลับหักพวงมาลัยแซงรถที่จอดอยู่ แล้วขับฝ่าไปบนถนนที่มีน้ำท่วมสูงประมาณครึ่งล้อรถ ซึ่งโดยปรกติน้ำที่ท่วมสูงเพียงแค่นั้น รถยนต์ปิกอัพและรถยนต์เอสยูวีน่าจะแล่นผ่านไปได้ไม่ยาก
แต่ภาพจากคลิปแสดงให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อรถยนต์เอสยูวีคันนั้นแล่นไปถึงตรงที่น้ำท่วมถนน แม้ว่าระดับความลึกของน้ำจะไม่มาก แต่ด้วยความที่เป็นน้ำไหลลงมาจากภูเขา จึงไหลแรงจนเรียกได้ว่าเชี่ยวกราก ความแรงของน้ำจึงพัดรถเอสยูวีให้ไหลตกลงไปจากถนน แล้วก็พัดรถยนต์ทั้งคันไหลไปตามกระแสน้ำอีกไกล ภาพท้าย ๆ ของคลิปก่อนที่จะตัดหายไป มีคนพยายามปีนออกมาทางหน้าต่าง แต่ไม่ทราบว่าท้ายที่สุดแล้วผลจะเป็นอย่างไร
ดูจากคลิปดังกล่าวแล้วผมจึงตัดสินใจ ที่จะเขียนถึงเรื่องของวิธีการขับรถยนต์ลุยน้ำท่วม เพราะเชื่อว่าตลอดฤดูฝนปีนี้ น่าจะมีน้ำท่วมขังบนพื้นถนนอีกหลายพื้นที่ ซึ่งคงจะมีเหตุการณ์คล้ายคลึงกับคลิปที่เล่ามาเกิดขึ้นอีก เพราะคนขับรถยนต์ในสมัยนี้ มักจะมั่นใจกับรถยนต์ของตัวเองมากเกินไป หลายคนเชื่อข้อมูลจากการเสนอขาย หรือจากสื่อที่นำเสนอในช่วงของการทดสอบรถ อันเป็นเหตุที่ทำให้อาจจะเกิดความสูญเสียขึ้นมาได้
ผู้จำหน่ายรถยนต์โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า มักจะอวดอ้างสรรพคุณเอาไว้ว่า รถยนต์ของตนเองสามารถลุยน้ำได้ที่ระดับความลึกเท่านั้นเท่านี้ ทำให้ผู้บริโภคเอามาเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจซื้อ และเมื่อเห็นว่าน้ำที่ท่วมพื้นถนนอยู่นั้น ยังไม่สูงเท่ากับที่เคยรับรู้จากผู้ผลิตรถยนต์ ผ่านการนำเสนอของสื่อ จึงตัดสินใจขับรถลุยผ่านน้ำไป แล้วก็เกิดความเสียหายตามมา
ประการแรกที่ผมอยากจะนำมาเตือนกันเอาไว้ก็คือ ระดับความลึกที่ผู้ผลิตรถยนต์เขาบอกผ่านสื่อมานั้น ส่วนใหญ่แล้วหมายถึงระดับความลึกของน้ำที่ขังอยู่บนพื้นนิ่ง ๆ ไม่ได้หมายถึงน้ำที่ไหลด้วยความเชี่ยว ไม่ว่าจะไหลสวนทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ หรือไหลไปในทิศทางเดียวกันกับรถยนต์ที่แล่นไป หรือไหลตัดขวางกับการเคลื่อนที่ของรถก็ตาม การไหลของกระแสน้ำในแต่ละทิศทาง ล้วนส่งผลให้เกิดผลกระทบกับการขับรถผ่านน้ำท่วมตรงนั้นไปทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อขับรถไปถึงบริเวณที่มีน้ำท่วมขังอยู่ นอกจากจะดูระดับความลึกของน้ำแล้ว ต้องดูความเชี่ยวในการไหลของน้ำ และทิศทางการไหลด้วย
ในส่วนของระดับความลึกของน้ำนั้น หากรถยนต์ที่ขับอยู่มีการอวดอ้างสรรพคุณจากผู้ผลิตหรือจากสื่อหนึ่งสื่อใดก็ดี ว่ามีความสามารถในการลุยน้ำลึกได้เท่านั้นเท่านี้ ให้ประเมินสถานการณ์จริงเอาไว้ที่เศษสามส่วนสี่ของการโอ้อวดนั้น เช่น มีการประกาศสรรพคุณว่าสามารถลุยน้ำได้ ๘๐ เซนติเมตร ก็ให้ยึดถือเอาไว้ที่ระดับความลึกในสถานการณ์จริง ที่ระดับความลึกของน้ำไม่เกิน ๖๐ เซนติเมตร โดยอีกเศษหนึ่งส่วนสี่ที่ตัดออกไปนั้นเป็นระดับที่สำรองเผื่อสำหรับผิวถนนใต้น้ำ ที่อาจจะชำรุดเป็นหลุมเป็นบ่อ และเผื่อไว้สำหรับการเกิดคลื่นของน้ำ ที่จะไหลเอ่อสูงกว่าระดับความลึกจริง ไม่ว่าจะเป็นคลื่นที่เกิดจากการไหลของน้ำ หรือคลื่นที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของรถยนต์ที่เราขับเอง หรือเกิดจากการแล่นผ่านหรือแล่นสวนทางกันของรถยนต์อื่นก็ตาม
วิธีที่ดีที่สุดก่อนที่จะตัดสินใจขับรถผ่านถนนที่มีน้ำท่วมขัง หากไม่มีรถยนต์คันอื่นแล่นผ่านเราไปก่อน คนขับรถต้องลงไปเดินบนถนนที่น้ำท่วมนั้น เพื่อประเมินระดับความลึก, ทิศทางการไหลของน้ำ และความเชี่ยวของน้ำที่ไหล หรือหากมีรถยนต์คันอื่นแล่นผ่านน้ำท่วมขังไปก่อนหน้า ให้สังเกตความสูงของรถคันนั้นกับรถเราเพื่อเปรียบเทียบ และดูสภาพผิวถนนใต้น้ำจากการทรงตัวของรถที่แล่นผ่านไปก่อนหน้าด้วย
ถ้าหากเป็นไปได้และเห็นว่ารถยนต์ที่แล่นไปก่อนหน้าเรา เป็นรถยนต์ที่มีระดับความสูงของตัวรถเท่ากัน หรือน้อยกว่ารถยนต์ของเรา ก็สามารถขับแล่นตามเขาไปได้ โดยให้ตามไปในระยะห่างพอสมควร ทั้งนี้ให้สังเกตจากน้ำที่รถยนต์คันนั้นแล่นแหวกไป ถ้าเราสามารถขับตามไปในระยะห่างประมาณสัก ๑๐ เมตร น้ำที่รถยนต์คันนั้นแหวกไป ก็จะทำให้เราแล่นผ่านในระดับความลึกที่ต่ำกว่าความเป็นจริงอยู่พอสมควร
การขับรถยนต์ผ่านถนนที่มีน้ำท่วมขัง ต้องรักษาระดับความเร็วให้คงที่ ไม่ขับเร็วเกินไปจนแหวกน้ำให้กระเซ็นแผ่กระจายไปทั่ว เพราะหากทำเช่นนั้นจะมีน้ำส่วนหนึ่ง สาดกระจายไปในห้องเครื่อง หรือไปโดนอุปกรณ์ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จนทำให้เกิดความเสียหายจนรถยนต์ดับกลางน้ำได้ ควรหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนเกียร์, การเพิ่มหรือลดความเร็วกะทันหัน ขณะที่รถยังแล่นอยู่บนถนนที่มีน้ำท่วมขัง
ในรถยนต์ไฟฟ้าที่มีระบบชะลอความเร็วรถเมื่อถอนเท้าจากคันเร่ง หรือที่เรียกกันว่าระบบ KERS ควรปรับระบบดังกล่าวไปในตำแหน่งที่หน่วงความเร็วน้อยที่สุด เพื่อป้องกันน้ำกระฉอกจนทำให้เกิดคลื่นสูงมากเกินไปครับ







