จอดผิด ชีวิตเปลี่ยน

มีคำโบราณกล่าวเอาไว้ว่า “สอนลูกให้เดิน แต่ไม่สอนลูกให้หยุด” มีความหมายว่าพ่อแม่ทุกคนต่างสอนให้ลูกก้าวหน้า คือทุกคนต่างสอนลูกของตนเองให้ประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่ไม่เคยมีใครสอนลูกให้รับมือกับความล้มเหลว หรือแม้แต่พึงพอใจในความสำเร็จที่ตนเองได้รับ ทำให้หลายคนเมื่อคิดว่าตนเองยังประสบความสำเร็จในระดับที่ไม่พอใจ จึงตีอกชกหัวหรือบางคนถึงขั้นเสียสติ หรืออาจจะทำลายชีวิตตนเองลงไป ทั้งที่หากมองเทียบกับชีวิตของคนอื่นแล้ว ก็ถือว่าประสบความสำเร็จที่ไม่น้อยหน้าคนอื่นๆแต่อย่างใด
การเลือกซื้อรถยนต์มาใช้งานก็เช่นกัน ส่วนใหญ่จะมองถึงสมรรถนะในด้านอัตราเร่ง มองถึงขีดความสามารถในการทำความเร็วสูงสุด น้อยคนมาก ๆ ที่จะคิดถึงสมรรถนะหรือความสามารถในการหยุดอย่างปลอดภัย พูดง่าย ๆ ก็คือน้อยคนที่จะคิดว่ารถยนต์ของตนเอง จะหยุดนิ่งสนิทในระยะทางสักกี่เมตร เมื่อขับมาด้วยความเร็วระดับหนึ่ง แล้วต้องเบรกอย่างกะทันหัน เมื่อจะเอารถยนต์ไปแต่งเพื่อเพิ่มสมรรถนะ ส่วนมากจึงเน้นไปที่ความแรงของเครื่องยนต์ และขีดความสามารถของช่วงล่าง น้อยคนที่จะแต่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเบรกไปด้วย
ปี พ.ศ.๒๕๖๘ นี้เป็นปีที่ฤดูฝนเริ่มต้นด้วยความชุ่มฉ่ำ เพราะตกหนักลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นฤดู ทำให้มีข่าวเกี่ยวกับน้ำท่วมถนนหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ซึ่งปรกติกว่าที่ฝนจะตกเริ่มฤดูกาล ก็ต้องย่างเข้าช่วงกลางเดือน พ.ค. แต่ปีนี้ฝนมาเร็วกว่าทุกปี เพียงแค่ต้นเดือน พ.ค. ก็มีฝนตกหนักลงมาต่อเนื่องเกือบทุกวัน และทั่วถึงแทบจะครอบคลุมไปทั้งประเทศ ทำให้อดนึกถึงข่าวในช่วงราวปลายเดือน ก.ค. ปีที่แล้วไม่ได้ ที่มีฝนตกหนักทั่วประเทศในลักษณะเดียวกันนี้ แล้วมีข่าวดินถล่มและน้ำหลากท่วมใหญ่ ทั้งภาคใต้และภาคเหนือ ทำให้รถยนต์เกิดความเสียหายนับพันคัน
ฝนต้นฤดูปีนี้ก็เริ่มจะมีข่าวรถยนต์จมน้ำเสียหายเกิดขึ้นบ้าง มีทั้งที่จมน้ำระหว่างการเดินทาง และในขณะที่จอดอยู่ในที่จอดประจำ และมีทั้งรถยนต์เครื่องสันดาปภายใน ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าแท้ ๆ วันนี้ผมจึงจะมาพูดถึงเรื่องการจอดหรือหยุดรถให้ปลอดภัย เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
แต่ก่อนที่จะเข้าไปถึงจุดจอดรถยนต์ที่ปลอดภัยจากน้ำ ขอเริ่มต้นที่จุดห้ามจอดรถตามกฎหมายหรือ พรบ.จราจรทางบกกันก่อน เพราะคนปัจจุบันเพิกเฉยต่อข้อห้ามเรื่องนี้กันมาก ซึ่งมีทั้งจอดผิดที่โดยไม่รู้ว่าทำผิดกฎหมาย และจอดผิดทั้ง ๆ ที่รู้ว่าผิดกฎหมาย โดยแต่ละคนอาจจะมีข้อแก้ตัว ส่วนใหญ่ก็เป็นไปในทำนองที่ว่า “ใครๆเขาก็จอดกันอย่างนี้ทุกวัน” หรือ “จอดแป๊บเดียวเอง จะอะไรกันนักหนา”
จุดจอดรถยนต์ที่ผิดกฎหมายซึ่งเหมือนกันทั่วโลก เช่น บริเวณที่ทาสีขาวสลับแดงที่ขอบทางเท้า, บริเวณใกล้กับตู้ไปรษณีย์ (แม้ว่าปัจจุบันนี้อาจจะไม่มีการใช้งานตู้ไปรษณีย์นั้น ๆ แล้วก็ตาม แต่หากกฎหมายยังไม่ได้ถูกยกเลิก ก็ถือว่าเป็นจุดจอดรถยนต์ที่ผิดกฎหมาย ), จอดรถยนต์ที่อยู่ใกล้กับท่อน้ำสำหรับดับเพลิง, บริเวณคอสะพานทั้งฝั่งขาขึ้นและขาลงสะพาน, บริเวณใกล้กับทางแยกทางร่วม เช่นตามหัวมุมทางแยก, บริเวณที่เป็นทางม้าลาย เป็นต้น บริเวณต่าง ๆ เหล่านี้กฎหมายทุกประเทศในโลก ล้วนแต่กำหนดให้เป็นบริเวณห้ามจอดทั้งสิ้น
ส่วนพื้นที่จอดรถยนต์ที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับในช่วงที่ฝนตกชุก เช่น จอดทิ้งไว้ชั้นใต้ดินของอาคาร ไม่ว่าจะเป็นการจอดเพื่อทำธุระ หรือจอดเพื่อจะต้องไปทำงานหรือทำธุระอื่นเป็นเวลานาน ๆ ไม่สามารถรีบกลับมาเคลื่อนย้ายรถได้ หรือการจอดในที่พักอาศัยจำพวกคอนโดมิเนียม ซึ่งมีพื้นที่จอดรถอยู่ต่ำกว่าพื้นถนนรอบตัวอาคาร จุดต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้น ล้วนแต่เคยมีข่าวน้ำท่วมรถหรือพัดพารถยนต์จนลอยออกไป ทำให้เกิดความเสียหายจำนวนมากแล้วทั้งสิ้น ดังนั้นหากเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง
สำหรับคนที่เดินทางไปท่องเที่ยวหรือทำธุระต่างพื้นที่ หากต้องจอดรถยนต์ทิ้งไว้ค้างคืน ให้ตรวจสอบจากข่าวคราวในอดีต ว่าพื้นที่นั้น ๆ เคยเกิดน้ำท่วมหรือดินถล่มหรือไม่ หรือจะอาศัยดูจากคราบของน้ำท่วมที่ติดอยู่ตามตัวอาคาร หรือตามเสาไฟฟ้าทั่วไปเป็นที่สังเกตก็ได้ เพราะในพื้นที่ซึ่งเป็นภูเขาหรือที่สูงหลายแห่ง แม้จะไม่เคยเกิดกรณีน้ำท่วมขังมาก่อน แต่อาจจะเป็นทางน้ำหลากจากที่สูง แล้วไหลมาพัดพารถยนต์ที่จอดอยู่ให้เกิดความเสียหายได้
แม้แต่พื้นที่บนถนนที่เราต้องขับรถยนต์ผ่านเป็นประจำ หลายครั้งก็จะพบว่ามีรถยนต์เสียหายจากน้ำท่วม โดยไม่ได้เกิดจากการขับรถยนต์ลุยน้ำแต่อย่างใด เช่น เมื่อฝนตกหนักและมีการจราจรที่ติดขัด รถยนต์จำนวนหนึ่งไปจอดติดอยู่ในพื้นที่ต่ำ เช่น จอดติดจากปัญหาการจราจรอยู่ในพื้นที่ซึ่งเป็นอุโมงค์ ซึ่งปัจจุบันมีอุโมงค์บนถนนมากมาย ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด หากต้องขับรถยนต์ในสภาพการจราจรที่ติดขัดหนักมาก ๆ และมีฝนตกหนักต่อเนื่องมายาวนาน ทั้งก่อนหน้าและตกตลอดแม้ในช่วงที่ขับรถอยู่ ถ้าหลีกเลี่ยงการลงไปใช้อุโมงค์ได้ ก็ให้หลีกเลี่ยงเอาไว้ก่อน เพื่อความปลอดภัยของเราเอง
แม้แต่รถยนต์ที่จอดอยู่ในบ้านหรือนอกรั้วบ้านของตนเองก็เช่นกัน ด้วยว่าบริเวณตรอกซอกซอยและถนนในหมู่บ้านหลายแห่ง เมื่อฝนตกลงมาจะมีน้ำขังเป็นเวลานาน ในลักษณะที่นักการเมืองเลี่ยงบาลีไปใช้คำว่า “น้ำรอการระบาย” ต่อให้น้ำที่ขังบนพื้นถนนไม่สูงจนทำให้รถยนต์ หรือเครื่องยนต์เกิดความเสียหายโดยตรง แต่หากเลี่ยงการจอดบริเวณดังกล่าวได้ก็ควรเลี่ยงไปเสีย
เพราะเมื่อมีน้ำขังบนพื้นถนนหรือในซอยก็ตาม ย่อมหมายถึงบริเวณที่ต่ำกว่าเช่นท่อระบายน้ำก็ย่อมถูกน้ำท่วมเต็มด้วย สัตว์เลื้อยคลานต่างๆ เช่นหนู, งู และแมลงต่างๆ ก็อาจจะหนีน้ำท่วมเข้าไปอยู่ในห้องเครื่อง หรือในห้องโดยสารรถยนต์ได้ และแม้ว่าความสูงของระดับน้ำอาจจะไม่มากนัก แต่ถ้าต้องจอดรถยนต์อยู่บนพื้นที่มีน้ำขังอยู่ด้านล่าง หากมีแสงอาทิตย์ส่องมาในตอนกลางวัน ความร้อนจากแสงอาทิตย์ก็จะเผาน้ำให้กลายเป็นไอน้ำ จากนั้นไอน้ำก็จะลอยขึ้นมาที่พื้นรถ และตามห้องเครื่องยนต์ หรือบริเวณที่มีชิ้นส่วนซึ่งเป็นไฟฟ้าติดตั้งอยู่
ไอน้ำนั้นก็จะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าของอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถยนต์ลัดวงจรขึ้นมาได้เช่นกันครับ







