สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกๆ ท่าน ตลาดช่วงนี้จะเห็นความผันผวนซ่อนอยู่ บางตลาดยังทำจุดสูงสุดแต่บางตลาดก็เริ่มย่อตัวลงมา
บางวันเราอาจเห็นตลาดปรับลงอย่างน่าตกใจ ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลใจของนักลงทุนในตลาดที่มีต่อปัจจัยต่างๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงินเฟ้อและการปรับนโยบายทางการเงินของธนาคารกลาง หรือการระบาดอีกระลอกของโควิด-19 หรือความกังวลใจต่อมูลค่าตลาดที่ค่อนข้างแพงในปัจจุบัน รวมถึงความกังวลต่อการเผชิญหน้าระหว่างอเมริกาและจีน เป็นต้น ดังนั้นในช่วงนี้เราคงจะเห็นตลาดแกว่งตัว ผันผวนไปอีกสักพัก
แล้วเราจะมีอะไรที่พอจะบอกเราได้ไหมว่าตอนนี้อารมณ์ของตลาดเป็นอย่างไร อยู่ในช่วงอารมณ์ดีหรืออยู่ในภาวะที่กังวลหรือกลัวที่จะลงทุน วันนี้ผมอยากเขียนถึงเครื่องมือที่พอจะสื่อหรือบอกถึงอารมณ์หรือความอ่อนไหวของตลาด เผื่อจะเป็นแนวทางหรือเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่าน แต่ต้องบอกว่าเครื่องมือหรือดัชนีต่างๆ นั้นส่วนใหญ่เป็นของต่างประเทศโดยเฉพาะตลาดหุ้นอเมริกา แต่ก็น่าจะพอเชื่อมโยงหรือนำไปปรับสู่ตลาดอื่นๆ ได้บ้าง
เครื่องมือแรกเป็นเครื่องมือที่ใช้วัดความผันผวนของตลาดถ้าตลาดผันผวนสูงตัวเลขที่วัดออกมาก็จะสูงไปด้วย ที่ในตลาดใช้ดูกันเป็นหลักคือดัชนี VIX ซึ่งเราสามารถหาได้จากเวปไซต์ yahoo finance โดยค่าของดัชนีนี้จะอิงมาจากราคาของสัญญาณออปชั่น ดังนั้นค่าที่ได้จะไม่ได้มาจากการวัดความผันผวนของตลาดหุ้นโดยตรงเหมือนค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แต่เป็นค่าที่สะท้อนความผันผวนจากสัญญาออปชั่นอีกที ซึ่งมีข้อดีคือมันจะสะท้อน”ความผันผวน” ที่นักลงทุนมีต่อตลาดในปัจจุบันหรือในอนาคตใกล้ๆ ได้ไวกว่าการคำนวณความผันผวนโดยใช้ค่าสถิติที่ต้องอิงจากข้อมูลในอดีต ถ้าตัวเลขดัชนี VIX สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ(เช่นมากกว่าค่าเฉลี่ย 200 วัน)หรือปรับสูงขึ้นติดต่อกันหลายๆ วัน อาจเป็นสัญญาณเตือนภัยให้นักลงทุนออกจากตลาดจนกว่าตัวเลขจะเริ่มดีขึ้น เป็นต้น ปัจจุบันมีการจัดทำค่า vix นี้สำหรับหลายๆ สินทรัพย์ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ทองคำ พันธบัตร เป็นต้น ส่วนประเทศที่ไม่มีก็อาจต้องวัดค่าความผันผวนจากการใช้ตัวสถิติแต่ควรเป็นตัวสถิติที่อิงจากราคาในปัจจุบันมากกว่าราคาในอดีต หรือคำนวณจากตัวเลขเทคนิคอลบางตัวที่ใช้วัดความผันผวนเช่น ค่า Average True Range (ATR) มาใช้ทดแทนเป็นต้น
เครื่องมือที่2เป็นการดูจากปริมาณการซื้อสัญญาณ put option เทียบการปริมาณการซื้อ call option พูดแบบง่ายๆ คือถ้าคนกลัวตลาดหุ้นจะตกในอนาคตคนก็จะซื้อ put option เอาไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยง ตัวเลขนี้ก็จะสูงขึ้น แต่ถ้าคนคลายความกังวลตัวเลขนี้ก็จะลดลง หรือถ้าคนส่วนใหญ่มองตลาดจะขึ้นในอนาคตปริมาณการซื้อ call option ซึ่งจะได้กำไรเวลาหุ้นขึ้น ก็จะสูงตัวเลขนี้ก็จะลดต่ำลง
เครื่องมือที่3เป็นการดูจำนวนหุ้นที่ราคาขึ้นไปทำจุดสูงสุดเมื่อเทียบกับจำนวนหุ้นที่ทำจุดต่ำสุด ง่ายๆ เลยถ้าตลาดดีหุ้นที่ทำจุดสูงสุดก็จะมากขึ้น ตัวเลขนี้ก็จะสูงขึ้น
เครื่องมือที่ 4 เป็นการนำปริมาณการซื้อหุ้นมาเทียบกับปริมาณการขายหุ้น ซึ่งเวลานักลงทุนกังวลกับภาวะตลาดมากๆ ปริมาณการขายหุ้นก็จะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับการซื้อหุ้น ดังนั้นตัวเลขดังกล่าวจึงถูกนำมาใช้วัดอารมณ์ตลาดได้
เครื่องมือที่ 5เป็นการดูว่าตลาดยังอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง โดยเปรียบเทียบราคาหุ้นในปัจจุบันกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (100-200 วัน) ถ้าราคาหุ้นอยู่สูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ยก็ยังพอมองได้ว่าตลาดยังมีแนวโน้มที่ดี ตรงข้ามกัน ถ้าหากราคาอยู่ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยก็จะมองว่าตลาดยังไม่สดใส
เครื่องมือที่ 6 เป็นไม่ได้ดูจากตลาดหุ้นโดยตรงแต่วัดความกังวลใจของนักลงทุนจากตลาดตราสารหนี้ คือถ้านักลงทุนกังวลใจกับภาวะเศรษฐกิจมากความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยสูงเช่นพันธบัตรรัฐบาลก็จะสูงขึ้น ในขณะที่ลดความต้องการถือหุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงสูง(เช่นพวกมีเรทติ้งต่ำ หรือ junk bond ) ลงแม้จะได้ผลตอบแทนที่มากกว่าก็ตาม ทำให้ส่วนต่างของผลตอบแทนระหว่างหุ้นกู้และพันธบัตรสูงขึ้น หากเราเห็นตัวเลขนี้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญก็สะท้อนความกลัวในตลาดได้
ปัจจุบันทาง CNN มีการจัดทำ Greed & Fear Index ซึ่งเป็นการวัดอารมณ์หรือความผันผวนของตลาดจากค่าต่างๆ ที่ได้กล่าวมาในข้างต้น (รวมถึงค่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้) ออกมาเผยแพร่และได้รับความนิยมเพราะดูง่ายและทำให้เราไม่ต้องมานั่งตามตัวเลขหลายๆ ตัวให้ยุ่งยาก เว้นแต่เราเป็นนักลงทุนที่ซีเรียสจึงต้องทำการเก็บข้อมูลมาวิเคราะห์เอง และในปัจจุบันที่การใช้สื่อโซเชียลมีเดียได้รับความนิยมมากขึ้น บางคนอาจนำตัวเลขการโพสต์หรือแทค หรือการทวีตมาใช้วัดอารมณ์ตลาดเพิ่มเติมได้อีกปัจจัยหนึ่ง
ท้ายสุดนี้ผมก็ขออวยพรให้ท่านผู้อ่านทุกๆ ท่านมีความสุข สุขภาพแข็งแรงและโชคดีกับการลงทุนครับ