โลกวิชาการอาจจะก้าวไม่ทันโลกที่มีดิจิทัลเป็นตัวขับเคลื่อน
คนรุ่นใหม่อาจมองว่าตัวเองอยู่ในยุคสมัยของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เพราะการมาถึงของเทคโนโลยีดิจิทัลได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ปรับเปลี่ยนรูปแบบสังคม รวมถึงปฏิวัติโครงสร้างทางธุรกิจใหม่หมด จนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล
แต่ในความเป็นจริง คนทุกรุ่นล้วนผ่านประสบการณ์ในการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ต่างกัน นับตั้งแต่คนรุ่นเบบี้บูมเมอร์จนถึงคนเจนเนอเรชั่นเอ็กซ์ ก็ล้วนต้องเปลี่ยนผ่านจากยุคแอนะล็อกเข้าสู่ยุคอิเล็กทรอนิกส์และกลายเป็นยุคดิจิทัล ต้องพบเจอการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน
ความท้าทายจากการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตจึงเป็นเรื่องสำคัญที่คนทุกยุคทุกสมัยต้องพบเจอ และต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงในทุกวันนี้มีอัตราเร่งมากกว่าในอดีตหลายเท่า อนาคตของคนรุ่นใหม่จึงต้องพบเจอกับสิ่งใหม่ ๆ ที่สร้างผลกระทบมากกว่าคนรุ่นเก่าหลายเท่าเช่นกัน
การที่เขาจะอยู่รอดได้ในอนาคตจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ศาสตร์ใหม่ ๆ ที่อาจยังไม่มีสอนในวันนี้ หรือต้องประกอบอาชีพใหม่ที่ยังไม่เกิดขึ้นในวันนี้ด้วย สิ่งที่เขาต้องเรียนรู้ในวันนี้จึงไม่ใช่สาขาวิชาใหม่ล่าสุดที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นเท่านั้น แต่สำคัญที่สุดคือการ “เรียนเพื่อเรียนรู้” หรือ Learning How to Learn เพื่อให้เขาเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ตลอดไป
สำหรับคนรุ่นเก่า อาจเคยชินกับการเรียนรู้อย่างเป็นระบบชนิดเต็มรูปแบบ นั่นคือการเน้นวิชาการอย่างเต็มที่ทั้งด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ หรือจะเป็นสายศิลป์ศาสตร์ที่เน้นด้านภาษาก็ตามโดยเป้าหมายสำคัญที่สุดก็คือการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในสาขาวิชายอดนิยมที่มั่นใจได้ว่าจบมาแล้วจะมีหน้าที่การงานมั่นคง
แต่มาถึงวันนี้คนรุ่นเก่าก็ได้เห็นบทพิสูจน์แล้วว่าแนวทางดังกล่าวไม่ได้รับประกันว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จในชีวิตเหมือนกัน เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง เราจะเห็นเจ้าสัวหรือเจ้าขององค์กรธุรกิจขนาดยักษ์หลาย ๆ แห่งสร้างความมั่งคั่งขึ้นมาได้โดยไม่มีใบปริญญาใด ๆ เป็นใบเบิกทางทั้งสิ้น
การเรียนรู้จนถึงระดับอุดมศึกษาจึงเป็นการสร้างพื้นฐานในการพัฒนาวิธีคิด ไม่ใช่เพียงการเรียนรู้ด้านวิชาการที่มักไม่สอดคล้องกับความเป็นไปของโลก สิ่งที่นักวิชาการด้านการศึกษาเน้นเป็นพิเศษในช่วงนี้จึงเป็นเรื่องของการ “เรียนเพื่อเรียนรู้” เพราะเห็นแล้วว่าโลกวิชาการไม่อาจก้าวทันความเป็นไปของโลกสมัยใหม่ที่มีเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นตัวขับเคลื่อน
บทบาทครูอาจารย์ผู้สอนจึงต้องปรับให้ทันกับบริบทใหม่ของการศึกษา เพราะเราเห็นได้ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่าทำไมบางครั้งเด็กหัวปานกลางกลับประสบความสำเร็จมากกว่าเด็กหัวกะทิ นั่นก็เป็นเพราะเด็กหัวปานกลางเหล่านั้นอาจมีทักษะในการ “เรียนเพื่อเรียนรู้” หรือ Learning How to Learn มากกว่านั่นเอง
ลองคิดย้อนกลับไปในอดีตสัก 10-15 ปีที่แล้ว แน่นอนว่าในยุคนั้นสถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ไม่มีใครสอนเรื่องความเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจด้วยพลังของโซเชียลมีเดีย ไม่มีโรงเรียนไหนสอนเรื่องผลกระทบของคริปโตเคอร์เรนซีต่อโลกการเงินการธนาคาร
เพราะในยุคนั้นคนส่วนมากยังไม่รู้จักคำว่าโซเชียลมีเดีย บล็อกเชน บิ๊กดาต้า ฯลฯ แต่เมื่อมันถือกำเนิดขึ้นมาแล้วกลับเติบโตและส่งผลกระทบต่อธุรกิจ สังคม และการเมืองอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างที่เราเห็นได้ชัดจากการใช้โซเชียลมีเดียอนาไลติกส์ชี้นำการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาเมื่อ 5 ที่แล้วทำให้เราตระหนักถึงพลังอำนาจของมันได้เป็นอย่างดี
แม้เรื่องเหล่านี้จะไม่มีใครสอนในอดีต แต่ด้วยการ “เรียนเพื่อเรียนรู้” สร้างโอกาสมหาศาลให้กับคนที่ศึกษาเรื่องดังกล่าวจนแตกฉานได้ก่อนผู้อื่น เพราะทำให้เขาเข้าถึงเครื่องมือที่ทรงอานุภาพที่สุดและยังไม่เคยมีใครใช้งานมาก่อน