เงินเฟ้อภัยร้ายของพอร์ตความมั่งคั่ง

หากดูจากตัวเลขการค้นหาคำว่า inflation ในกูเกิลปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจากปีที่ผ่านมา รวมถึงตลาดหุ้นที่มีการผันผวนโดยเฉพาะในช่วงวันที่เฟดจะมีการพูดถึงนโยบายทางการเงินหรือมาตรการในการควบคุมเงินเฟ้อ แน่นอนว่าเงินเฟ้อจะส่งผลกระทบทั้งระยะสั้นจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์หรือระยะยาวจากการลดลงของอำนาจซื้อของพอร์ตความมั่งคั่งของเรา เราลองมาพิจารณาประเด็นดังกล่าวกัน

ประเด็นแรกเงินเฟ้อที่เราพูดกันโดยทั่วไปนั้น ที่ส่งผลต่อพอร์ตความมั่งคั่งในที่นี้เราจะหมายถึง การปรับตัวเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อ หรือการที่เงินเฟ้อปรับตัวสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อดังกล่าวจะส่งผลต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางในการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรือนโยบายทางการเงินอื่นๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาดทุน ทำให้ช่วงที่ผ่านมาเราเห็นตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งตัวตามข่าวเงินเฟ้อหรือข่าวเกี่ยวกับท่าทีต่อนโยบายการเงินของธนาคารกลาง ซึ่งในกรณีนี้คือการลดมาตรการการผ่อนคลายทางการเงิน ส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง เหตุที่เงินเฟ้อส่งผลในเชิงลบต่อตลาดหุ้นนั้นเกิดจากการที่เงินเฟ้อนั้นส่งผลต่อการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งส่งผลต่อเนื่องถึงอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรและหุ้นกู้ ซึ่งส่งผลลบต่อราคาของตราสารหนี้ทันที ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นส่งผลให้มูลค่าหุ้นที่คำนวณจากกำไรคิดลดด้วยอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงในช่วงแรก (เพราะตัวเศษคือผลกำไรยังไม่ได้ปรับตัว ในขณะที่ตัวส่วนหารปรับตัวเพิ่มขึ้น) ดังจะเห็นว่าตั้งแต่ต้นปีผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 7-10 ปี วัดจากกองทุน IEF ปรับตัวลดลง 3.61% ในขณะที่ผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 13.79% แต่เมื่อไรที่มีเรื่องเงินเฟ้อหรือนโยบายของเฟดก็จะส่งผลเชิงลบต่อตลาดหุ้น ซึ่งแน่นอนไม่เป็นผลดีต่อพอร์ตความมั่งคั่ง ไม่ว่าจะเป็นพอร์ตแบบเสี่ยงต่ำหรือเสี่ยงสูง และไม่ว่าจะเป็นพอร์ตของกลุ่มที่กำลังสร้างความมั่งคั่งผ่านการลงทุนรายเดือนหรือพอร์ตสำหรับกลุ่มเกษียณอายุในระยะสั้น ซึ่งก็คือในช่วงที่ตลาดยังซึมซับต่อข่าวดังกล่าว

ประเด็นที่สองลองมาดูกันว่าในอดีตที่ผ่านมาสินทรัพย์ลงทุนต่างๆมีการปรับตัวอย่างไรกับเงินเฟ้อ จากบทความของ Igor Vasilachi เรื่อง Inflation: How inflation drives asset prices and how to predict inflation จะพบว่าสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเป็นลบในช่วงเงินเฟ้อได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล 10 ปี และหุ้นกู้เอกชน ในขณะที่ผลตอบแทนจากดัชนี S&P 500 ติดลบประมาณ 0.45% ในช่วงดังกล่าว แต่หากนำผลตอบแทนตลอดทุกช่วงมาเทียบกับผลตอบแทนเฉพาะช่วงที่เงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นจะพบว่าสินทรัพย์ส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่าในช่วงที่เงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น พันธบัตร หุ้นกู้ หุ้น รีทส์ ไฮยีลด์บอนด์ หรือแม้แต่พันธบัตรที่อิงกับเงินเฟ้อ TIPS มีเพียงแค่ 2 สินทรัพย์ได้แก่ ทองคำและสินทรัพย์โภคภัณฑ์(รวมถึงน้ำมัน) ที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าในช่วงที่เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น จากรายงานดังกล่าวเราจะเห็นถึงความสำคัญของการกระจายความเสี่ยงของการลงทุน ไม่ว่าเราจะติดตามข่าวทางด้านเศรษฐกิจหรือไม่ การกระจายสินทรัพย์ลงทุนจะช่วยให้ผลตอบแทนของพอร์ตความมั่งคั่งของเรามีความผันผวนน้อยลง

ประเด็นต่อมาการลงทุนยังมีความสำคัญต่อพอร์ตความมั่งคั่งไม่ว่าเราจะมีวัตถุประสงค์อะไรโดยเฉพาะหากเราวางแผนเพื่อการเกษียณ เพราะในระยะยาวแล้วหรือเมื่อตลาดซึมซับต่อเรื่องการปรับเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อไปหมดแล้วผลตอบแทนของสินทรัพย์ลงทุนต่างๆก็จะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ เราอาจระมัดระวังในช่วงที่ข่าวหรือเงินเฟ้อมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่าที่คาด (surprise inflation) โดยลดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนเชิงลบต่อเงินเฟ้อ เช่น พันธบัตรระยะยาว หุ้น เป็นต้น และถือครองตราสารหนี้ระยะสั้น หรือทองคำและสินทรัพย์โภคภัณฑ์ มากขึ้น และปรับสัดส่วนเมื่อเงินเฟ้อหรือตลาดเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ อย่าลืมว่าต่อให้เราถือครองแต่เงินสดเมื่อเทียบต่ออัตราเงินเฟ้อแล้วอำนาจของเงินหรือพอร์ตของเราก็จะลดลง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อพอร์ตเกษียณในอนาคตเช่นกัน

สุดท้ายเงินเฟ้อจะส่งผลทำให้ราคาของสินค้าหรือค่าบริการในอนาคตสูงขึ้นซึ่งเป็นผลเสียให้เงินที่เรามีในพอร์ตมีอำนาจซื้อที่น้อยลง ดังนั้นนโยบายของธนาคารกลางที่ควบคุมระดับเงินเฟ้อจึงเป็นผลดีต่อพอร์ตความมั่งคั่งของเราในระยะยาว ทำให้การวางแผนและคาดการณ์เป็นไปตามที่ควรเป็นมากขึ้น และการลงทุนและการกระจายการลงทุนจึงยังเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการบริหารความมั่งคั่ง ดังนั้นอย่าวิตกจนเกินไป และยังคงลงทุนต่อไปแต่อาจมีการปรับสัดส่วนการลงทุนในระยะสั้นได้

ท้ายสุดนี้ผมก็ขออวยพรให้ท่านผู้อ่านทุกๆท่านมีความสุข สุขภาพแข็งแรงและโชคดีกับการลงทุนครับ