โควิด กับความเชื่อ ที่เหนือเหตุผล

โควิด กับความเชื่อ ที่เหนือเหตุผล

เป็นที่รู้กันแล้วว่าถ้าไม่ไปฉีดวัคซีนกันเป็นสัดส่วนที่มาก  ภูมิคุ้มกันหมู่จะไม่เกิดขึ้น ทำให้การเปิดประเทศ เปิดตลาด เปิดท่องเที่ยวไม่ได้

 เมื่อไม่สามารถคลายล็อกดาวน์ประเทศ ซึ่งนั่นหมายถึงการล่มสลายทางเศรษฐกิจของชาติ อันนำไปสู่ความวิบัติทางสังคมโดยเฉพาะกับคนตัวเล็กตัวน้อย  และเมื่อการณ์ดำเนินไปถึงจุดๆหนึ่งก็อาจจะเกิดกลียุคขึ้นในบ้านเมือง  ซึ่งเราจะยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้นไม่ได้
ทางออกที่ง่ายที่สุด และทุกคนรู้ คือ การชักจูงให้คนไทยออกมาฉีดวัคซีนกันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้   แต่ตัวเลขมันไม่เคยหลอกเรา  มันหลอกไม่เป็น  ข้อมูลทุกชุดชี้ไปในทางเดียวกันว่า ณ เวลานี้ นาทีนี้ คนไทยส่วนใหญ่ไม่ต้องการไปฉีดวัคซีน
ผมจึงเริ่มจะเห็นคล้อยตามที่มีคนเคยเสนอแนะว่า นอกจากหมออาวุโสเก่งๆระดับชาติที่พากันออกมาชักชวนคนไทยด้วยเหตุผลนานาประการทางการแพทย์ ให้รีบไปฉีดวัคซีนแล้ว รัฐก็ควรที่จะมีอีกมาตรการหนึ่งมาเสริมแรงตรงนี้  เช่น ทำโครงการจัดให้มีคลิป มีข่าว มีสกู๊ป มีอินสตาแกรม มีอินโฟกราฟฟิก ฯลฯ ที่ให้ชาวบ้านชักชวนชาวบ้านด้วยกันเองออกมาฉีดวัคซีน
แบบแรกนั้น ชาวบ้านฟังไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง นำไปสู่ความไม่เชื่อ จึงทำให้ยังมีคนอีกจำนวนมากที่จะไม่ไปฉีด  ส่วนแบบหลังเป็นการพูดคุยกันแบบชาวบ้านคุยกับชาวบ้าน ใช้ใจคุยกัน มาสร้างความเชื่อโดยไม่ต้องอิงเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ใดๆก็ได้  แต่มันสามารถสร้างความมั่นใจให้พวกเขาด้วยกัน มากกว่าที่หมอใช้เหตุและผลมาอธิบาย
ทุกคนก็รู้ไม่ใช่หรือครับ ว่า อันความเชื่อนั้นมันไม่มีเหตุผล แต่แน่นอนที่วิธีหลังนี้ไม่ใช่วิธีเดียวที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จในตัวมันเอง  มันเป็นวิธีเสริมวิธีแรกให้มีสัมฤทธิ์ผลและประสิทธิภาพมากขึ้น
วันก่อนผมได้มีโอกาสคุยกับชาวบ้านสามีภรรยาคู่หนึ่ง อายุ 67 และ 64  มีโรคประจำตัวอย่างน้อยๆก็โรคหัวใจและความดันสูง  ผมได้ใช้ข้อมูล สถิติ ความเสี่ยง ผลดีผลเสีย อธิบายให้เขาฟังยังไงๆ ผมก็ไม่สามารถทำให้เขาคล้อยตามได้  เขาอ้างแต่กรณีของเจ๊เล้งที่มีอากรแพ้มากจนต้องนอนซมอยู่หลายวัน และกรณีของพระรูปหนึ่งที่มรณภาพแม้นว่าทางการแพทย์ได้พิสูจน์แล้วว่าเหตุไม่ได้มาจากผลกระทบจากการฉีดวัคซีน และด้วยแค่สองกรณีนี้เท่านั้นเขาก็ตัดสินใจไม่พากันไปฉีดวัคซีนแล้ว
ผมจึงได้มาถึงแสงสว่าง ว่านี่ขนาดได้พูดกันตรงหน้า ตัวต่อตัว มองเห็นตากัน เขายังไม่ฟังเหตุผลใดๆทั้งสิ้น ถ้าอย่างนั้นเรามาใช้แผนสองหรือ plan B กัน  โดยใช้คนข้างบ้านเขา หรือครูในชุมชน หรือพระผู้ใหญ่ในทุกศาสนาที่เป็นที่เคารพของมวลชนคนหมู่มาก  หรือนักวอลเลย์หญิงทีมชาติ ฯลฯ มาเป็นทีมโควิดไทยแลนด์  ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การชักจูงให้คนไทยเปลี่ยนใจและหันมาฉีดวัคซีนกัน  มันน่าจะมีผลสำเร็จมากกว่าที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้และที่มันยังไม่เวิร์ค
ถ้าจะให้ดึงดูดใจชาวบ้านขึ้นไปอีกก็ตกลงกับกองสลากฯ แถมล็อตเตอรี่ให้คนละคู่หลังจากฉีดวัคซีนเสร็จ  แบบนี้น่าจะเวิร์คกับค่านิยมของคนไทยหลายๆกลุ่มที่ลังเลและไม่อยากฉีดวัคซีนกันตอนนี้นะครับ
ขอฝากไปที่รัฐบาล และขอไชโยล่วงหน้าไว้ก่อนเลยสำหรับ "ทีมโควิดไทยแลนด์" ที่เข้มแข็งและทรงอิทธิพลนี้ครับ