ทำไม ‘ราคาบอนด์สหรัฐขาลง’ แต่ ‘หุ้นไทยยังขาขึ้น’

ทำไม ‘ราคาบอนด์สหรัฐขาลง’ แต่ ‘หุ้นไทยยังขาขึ้น’

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พาวเวลเริ่มพูดถึงเงินเฟ้อสหรัฐว่าน่าจะได้เห็นบ้างในปีนี้ เลยทำให้ตลาดเริ่มจะตระหนกหรือ Panic จากท่าทีใหม่ของพาวเวล 

หลังจากเกิดสิ่งที่เรียกว่า Inflation Panic เดิมที เจย์ พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐควรจะเติบโตเกินระดับที่เต็มศักยภาพหรือ Potential Output ไว้ก่อนดีกว่า เพราะว่าเฟด ณ ตอนนี้ เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่เงินเฟ้อ 

แต่แล้วเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พาวเวลเริ่มพูดถึงเงินเฟ้อสหรัฐว่าน่าจะได้เห็นบ้างในปีนี้ เลยทำให้ตลาดกังวลว่าเฟดอาจจะเริ่มขยับนโยบายการเงินให้ผ่อนคลายน้อยลงเร็วกว่าที่คาดไว้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือตลาดเริ่มจะตระหนกหรือ Panic จากท่าทีใหม่ของพาวเวล 

คำถามคือ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จะกระทบต่อ Fund Flow ที่จะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอย่างไร? 

โดยหากพิจารณาจากกระแสเงินไหลเข้าออกของตลาดเกิดใหม่ ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในนั่น พบว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เริ่มจะไหลออกเป็นครั้งแรกแล้วในรอบเวลาเกือบ 4 เดือน 

อย่างไรก็ดี สำหรับเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยนั้น นับว่ามีความโชคดีหลายประการที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยได้รับประโยชน์จากการที่โควิดเริ่มที่ผ่านจุดสูงสุด หลังจากเริ่มมีการฉีดวัคซีน ไม่ว่าจะมีสัดส่วนการฉีดไปมากเมื่อเทียบกับประชากรแล้ว อย่างประเทศพัฒนาแล้ว ในสหรัฐหรืออังกฤษ หรือว่าจะมีสัดส่วนการฉีดยังน้อย อย่างประเทศกำลังพัฒนาอย่างในอาเซียนรวมถึงไทย ดังนี้ 

หนึ่ง การที่ไทยมีสัดส่วนการฉีดวัคซีนค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับประชากร นับว่าเป็นความโชคดีที่ทำให้ไม่มีแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อในไทยเพราะทุกคนยังกังวลไม่กล้าใช้จ่ายแบบเต็มที่ ส่งผลให้ผู้ผลิตไม่กล้าขยับราคา ทำให้ไม่มีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของไทยในเส้นโค้งอัตราดอกเบี้ยด้วยเหตุผลของแรงกดดันเงินเฟ้อในไทย

 ทว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยก็ยังเพิ่มขึ้นจากปัจจัยอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ซึ่งถือเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบปราศจากความเสี่ยงที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกรวมถึงไทยใช้เป็นอัตราอ้างอิง อย่างไรก็ดี ก็ยังถือว่าไม่ได้ขึ้นเยอะ รวมถึงแนวโน้มก็น่าจะขึ้นอีกไม่มากในช่วงนี้เหมือนกับสหรัฐ

 ทำให้ในแง่ของส่วนคิดลดหรือ discount rate ของการประเมินมูลค่าตลาดหุ้นไทยไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก จึงแทบไม่ได้ส่งผลเสียต่อตลาดหุ้นไทยจากปัจจัยนี้ ซึ่งต่างจากตลาดหุ้นสหรัฐที่ได้รับผลกระทบโดยตรง 

สอง ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่เซกเตอร์พลังงานมีสัดส่วนสูงที่สุดในมิติของมูลค่ารวมตลาดหุ้นหรือ market capitalization โดยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา จากการที่ราคาน้ำมันดิบโลกพุ่งสูงขึ้น โดยเพิ่มถึงกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

ทำให้ดัชนีของตลาดหุ้นไทยในเซกเตอร์พลังงานพุ่งขึ้นมาตามราคาน้ำมันดิบ จึงส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยขยับตัวขึ้นมาสวนกับตลาดบอนด์และตลาดหุ้นสหรัฐ หรือแม้กระทั่งเทียบกับตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่ด้วยกันเองก็ตาม 

 

สาม ช่วงโควิดที่เริ่มต้นมาเมื่อ 1 ปีก่อน เศรษฐกิจไทยโดนผลกระทบมากกว่าเพื่อน เนื่องจากมูลค่าทางเศรษฐกิจภาคท่องเที่ยวของบ้านเราเมื่อคิดเป็นสัดส่วนต่อจีดีพีรวม ถือว่าเกือบสูงสุดที่สุดของโลก ดังรูป 

161548996019

ณ นาทีนี้ ภาคท่องเที่ยวที่เส้นกราฟเริ่มที่พ้นจากจุดต่ำสุดและกำลังค่อยๆจะเริ่มผงกขึ้นมาเป็นกราฟขาขึ้นนั้น ซึ่งการที่บ้านเรามีน้ำหนักจากภาคท่องเที่ยวสูงที่สุดเมื่อคิดเป็นสัดส่วนต่อจีดีพี ย่อมส่งผลดีต่อเศรษฐกิจบ้านเรามากกว่าเศรษฐกิจของเพื่อนบ้านจากปัจจัยนี้ 

นอกจากนี้ ภาคบริการของบ้านเราที่จะดีขึ้นเร็วหากโควิดจางลง ถือว่าใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับจีดีพีรวม หากเทียบกับประเทศต่างๆในอาเซียน ยกเว้นเพียงสิงคโปร์ 

นอกจากนี้ สำหรับในมิติการคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยหรือธปท.จะรับมือเรื่องนี้ได้อย่างไรนั้น จากสถานการณ์บอนด์ยิลด์สหรัฐที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ผมมองว่าธปท. น่าจะสามารถทำงานได้ง่ายลง เนื่องจากไม่ต้องถูกกดดันที่จะต้องผ่อนคลายนโยบายการเงินให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เนื่องจากมีการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐค้ำคออยู่ 

ธปท. น่าจะมีมุมมองว่าแบบ baseline ว่าการผ่อนคลายนโยบายการเงินในบ้านเราให้มากกว่านี้ จะส่งผลเสียต่อเสถียรภาพทางการเงินของบ้านเรา รวมถึงเป็นผลเสียต่ออัตราผลตอบแทนเงินฝากซึ่งเป็นส่งผลลบต่อผู้เกษียณอายุ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทำให้ ธปท.มี Room & Time Slack ในการผ่อนคลายนโยบายการเงินสำหรับช่วงต่อไปในอนาคต 

ในส่วนที่ว่าหุ้นเซกเตอร์ไหนเด่น/ด้อยนั้น จากเรื่องบอนด์ยิลด์สหรัฐในตอนนี้ ผมมองว่าหุ้นที่จะได้ผลเชิงบวกจากงานนี้ได้แก่ หุ้นในเซกเตอร์ธนาคาร เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยบ้านเราที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจากแรงกดดันดอกเบี้ยอ้างอิงของสหรัฐส่งผลดีต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก หุ้นในเซกเตอร์พลังงาน อย่างกลุ่ม ปตท. เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ยังสูงอยู่จากอุปทานที่ลดลงและอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากโควิดที่จางลง และหุ้นในกลุ่มค้าปลีกอย่าง CPALL  จากความกังวลโควิดของประชาชนที่ลดลงส่วนหนึ่งจากวัคซีน

 ส่วนหุ้นที่จะได้ผลเชิงลบนั้น ได้แก่ เซกเตอร์อิเล็กทรอนิคส์ อาทิ KCE และ HANA ที่เริ่มจะได้รับแรงหนุนหรืออุปสงค์ที่ลดลงจากกิจกรรม Work From Home ที่ลดลงจากช่วงโควิดหนักๆ

 ท้ายสุด สำหรับตราสารหนี้นั้น ผมมองว่าการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นน่าจะดีกว่าตราสารหนี้ระยะยาวจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และหากเทียบกันระหว่างประเภทตราสารหนี้ ผมมองว่าหุ้นกู้เอกชนน่าจะดีกว่าพันธบัตร  เนื่องจากการล้มละลายของบริษัทเอกชนน่าจะลดลงจากการอุ้มของภาครัฐในช่วงโควิด

นอกจากนี้ หุ้นกู้ประเภทอัตราผลตอบแทนสูงน่าจะดีกว่าหุ้นกู้ประเภทที่มีอันดับเครดิตแบบที่มีอันดับน่าลงทุนเล็กน้อย ด้วยเหตุผลของการอุ้มหรือช่วยเหลือจากภาครัฐนั่นเอง.

        *หมายเหตุ หนังสือ ‘หุ้น Avengers: Infinity Stock’ ผลงานหนังสือเล่มที่ 5 ของผู้เขียน วางตลาดที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศแล้ว