แข่งกันโต อย่าแข่งกันเตี้ย
ความดีนั้น ยิ่งบอกต่อกันไปก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้น การแข่งกันทำความดีเป็นความสำเร็จแบบไม่มีผู้แพ้ และยังเป็นการสร้างทุนทางสังคมในการฝ่าวิกฤติ
หัวใจสำคัญของการพัฒนาประเทศอยู่ที่สังคมเข้าใจคำว่า “พัฒนา” ดีแค่ไหน โมเดลการพัฒนาที่ประสบความสำเร็จคือโมเดลที่ส่งเสริมให้ทุกองคาพยพของประเทศสามารถเติบโตได้ เหมือนกับต้นไม้ในป่าที่แย่งกันพุ่งขึ้นไปข้างบน เพราะมีแต่แนวทางนี้เท่านั้นที่จะเกิดป่าที่สมดุล สมบูรณ์ และสมประโยชน์กับทุกชีวิตในระบบนิเวศ
หากย้อนกลับมามองบรรยากาศทางการเมืองของไทยในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา มันช่างขัดกับหลักการแข่งกันโตเสียเหลือเกิน กลุ่มการเมืองที่เห็นต่างเอาแต่ดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม สาดสีโจมตีกันโดยหวังจะทำให้อีกฝ่ายเตี้ยลง พอหลงอยู่กันทัศนคติเช่นนี้นานเกินไปต่อให้เอาความจริงมาวางไว้ตรงหน้า หากเป็นความจริงที่ไม่ตรงกับธงในใจของตัวเองแล้วก็จะเบือนหน้าหนี หรือไม่ก็บิดความจริงนั้นให้เบี้ยวไป
ความมุ่งมั่นทำให้ฝ่ายตรงข้ามเตี้ยลง มันไปเข้าทางนักการเมืองกับนักคิดที่มีวาระในใจตัวเองแล้วใช้คนไทยเป็นเครื่องมือ เพราะนักการเมืองและนักคิดเหล่านี้จะเติบโตได้ดีในสังคมที่แตกแยก เต็มไปด้วยอคติ มีการตั้งแง่ ค่อยแต่จะตัดตอนความคิดของกันและกัน ความสำเร็จในการเสี้ยมของคนเหล่านี้คือการสร้างภาพว่าคนเห็นต่างจากพวกเขาล้วนเป็นคนไม่ดี มีแต่คนเห็นด้วยถึงจะเป็นคนดี
ในทางเศรษฐศาสตร์นั้น การทำดีเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจเหมือนกับการซื้อเสื้อผ้า การกู้เงิน การทำมาค้าขาย เนื่องจากหากใครสักคนต้องการทำดี เขาต้องเปรียบเทียบต้นทุนจากการกระทำของเขากับประโยชน์ที่ได้รับกลับมา เมื่อใดเขาคิดว่าประโยชน์ที่ได้มากกว่าต้นทุนที่เกิดขึ้นเขาก็จะตัดสินใจทำความดี ในทางกลับกัน การทำดีจะไม่เกิดขึ้นถ้าเข้าคิดว่าทำแล้วได้ไม่คุ้มเสีย ปัญหาก็คือ แต่ละคนมีคำนิยามของ “ประโยชน์จากการทำความดี” กับ “ต้นทุนของการทำความดี” ไม่เหมือนกัน
แต่ถ้าทุกคนมีคุณค่าพื้นฐานที่เหมือนกัน เช่น การให้เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน การเคารพกฎหมาย การค้นหาข้อมูลให้รอบด้านไม่เชื่อข่าวลวงข้อมูลเท็จที่มาจากคนบางคน ท่าที่ที่เหมาะสมต่อความเห็นที่แตกต่าง เป็นต้น หากมีสิ่งเหล่านี้ ถึงเห็นต่างกันในบางเรื่องก็ยังสามารถเดินหน้าไปด้วยกันได้ เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นบนคุณค่าพื้นฐานชุดเดียวกัน
การทำความดียังเป็นการลงทุนเพื่อสร้างทุนทางสังคม งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันตรงกันว่า สังคมที่มีทุนทางสังคมสูงเป็นสังคมที่มีภูมิต้านทานเชื้อโรคทางสังคมที่เข้มแข็ง ถึงแม้จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน มีการกระทบกระทั่งกันบ้าง ทุนทางสังคมที่เกิดขึ้นจากการลงทุนทำความดีสะสมไว้ก็ยังจะช่วยประคับประคองสมาชิกในสังคมให้ผ่านพ้นไปได้
นอกจากนี้แล้ว สังคมที่ทุกคนแย่งกันทำดี ยังช่วยให้การจัดสรรทรัพยากรที่มีความเท่าเทียมกันมากกว่าสังคมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง เมื่อความขัดแย้งลดลง ทรัพยากรที่เคยใช้ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งก็จะถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นเพื่อสังคมได้อีก
สังคมไทยในปัจจุบันเต็มไปด้วยปัญหาที่รอการแก้ไข ทางออกของปัญหาบางเรื่องเริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสังคมนั้น ต้องเริ่มต้นจากตัวเรา เมื่อเราเปลี่ยนแปลงตนเอง คนรอบข้างจะค่อยๆ เปลี่ยนไป ถึงวันนี้ทำดีคนเดียวก็ไม่เป็นเป็นไร สังคมใช่ว่าจะเปลี่ยนได้ในวันเดียว เพราะธรรมชาติของมนุษย์กลัวการเปลี่ยนแปลง ขอให้ทำไปวันละเล็กละน้อย อีกไม่นานคนอื่นจะเริ่มเอาเป็นตัวอย่างเอง เรียกว่า ทำดีคนเดียว ได้ดีหลายคน
ความดีนั้น ยิ่งบอกต่อกันไปก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้น การแข่งกันทำความดีเป็นความสำเร็จแบบไม่มีผู้แพ้ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ยั่งยืนไม่เคยเกิดขึ้นจากความเกลียดชัง อัตตาไม่ใช่รากฐานของการสร้างชาติ การบิดเบือนความจริงไม่ใช่ทางออกของประเทศ ถ้าประเทศไทย คือ บ้าน เมื่อมีเป้าหมายเดียวกันว่าอยากจะเห็นบ้านหลังนี้น่าอยู่ ก็ควรจะวางอัตตาลงแล้วหันมาหาทางออกร่วมกัน ยอมถอยกันคนละก้าว แล้วคุยกันด้วยหลักคิดของการแข่งกันโตด้วยความดี ทำแบบนี้นอกจากจะสร้างบ้านสำเร็จ เรายังได้ช่วยกันการถีบสมาชิกตัวปลอมออกจากบ้านอีกด้วย
เริ่มต้นสิ่งที่ดีให้กับชีวิตของตัวเอง ครอบครัว คนรอบข้าง แค่นี้ก่อนก็พอ ลองคิดดูว่า แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาจับผิดคนอื่น กดคนคิดต่างให้จมลง เปลี่ยนมาเป็นทุกคนช่วยทำความดีกันวันละครั้ง ทุกวันจะมีความดีเกิดขึ้นกว่าหกสิบล้านเรื่อง ทุกสัปดาห์จะมีความดีเกิดขึ้นสี่ร้อยยี่สิบล้านเรื่อง และทุกปีจะมีความดีเกิดขึ้นถึงสองหมื่นหนึ่งพันแปดร้อยสี่สิบล้านเรื่อง ประเทศที่เต็มไปด้วยความดีมากมายขนาดนี้จะน่าอยู่สักแค่ไหนกันหนอ.