ดิจิทัลหยวน

ดิจิทัลหยวน

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับเงินดิจิทัลที่ถูกพูดถึงกันมาก คือการเข้าซื้อคริปโทเคอร์เรนซี สกุลบิตคอยน์ (Bitcoin)

ของบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ของอีลอน มัสก์ เป็นเงินสูงถึง 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

ในช่วงระยะเวลาใกล้ๆกันนั้น ก็มีข่าวคราวของเงินดิจิทัลที่น่าสนใจอีกข่าวหนึ่ง ซึ่งอาจไม่ดังเท่า แต่มีความสำคัญไม่น้อย นั่นคือ ความคืบหน้าการทดสอบการใช้เงิน “ดิจิทัลหยวน” ในปักกิ่ง โดยเป็นการสุ่มแจกซองแดงดิจิทัลเป็นเงิน 200 หยวน (ประมาณ 1 พันบาท) ต่อคน จำนวนทั้งสิ้น 50,000 คน คิดเป็นเงินรวมประมาณ 10 ล้านดิจิทัลหยวน โดยผู้ได้รับสิทธิผ่านระบบล็อตเตอรี่สามารถใช้เงินดิจิทัลหยวนนี้กับร้านค้าต่างๆได้จนถึงเมื่อวานนี้ ซึ่งนอกจากในปักกิ่งแล้ว ยังจะมีการทดสอบในเมืองซูโจว โดยใช้เงินอีกประมาณ 30 ล้านดิจิทัลหยวน โดยผู้ที่ได้รับเงินดิจิทัลนี้สามารถใช้จ่ายกับร้านค้ากว่าหมื่นแห่งได้ถึง 27 กุมภาพันธ์ปีนี้

ทั้งนี้ ทางการจีนได้เริ่มทยอยทดสอบการใช้ดิจิทัลหยวนมาตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้วในเมืองต่าง ๆ 9 เมืองด้วยกัน โดยคาดว่าเพื่อรองรับการออกดิจิทัลหยวนอย่างเป็นทางการก่อนกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว ณ กรุงปักกิ่ง ที่จะจัดขึ้นในปี 2022 นี้

หลายท่านอาจสงสัยว่า แล้วเงินดิจิทัลหยวน มีความแตกต่างจากเงินหยวน ที่มีการแลกเปลี่ยนกันผ่านแอป WeChat Pay และ Alipay อย่างไร? ถ้าให้ตอบแบบกำปั้นทุบดิน ในสายตาผู้ใช้เงิน หลัก ๆก็ไม่ได้ต่างอะไรกันนัก เพราะเงินดิจิทัลหยวนนี้ ออกโดยธนาคารกลางของประเทศจีน เช่นเดียวกับเงินหยวนที่เป็นธนบัตร หรือเงินหยวนที่คนจีนโอนซื้อขายของกันผ่านแอปนั่นเอง

ความพิเศษเล็กน้อยแต่สำคัญ ที่ดิจิทัลหยวนมีเหนือกว่าเงินหยวนในกระเป๋าสตางค์อิเล็กทรอนิกส์แบบเดิม ๆ ก็คือ การจ่ายเงิน หรือโอนเงินระหว่างกันนั้น สามารถกระทำได้แม้ไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต (Off-line) ซึ่งทำให้สามารถโอนเงินให้กันได้ แม้ว่าจะเจอกันตามป่าเขา ห่างไกลความเจริญ หรืออยู่ในเมืองแต่เน็ตล่ม (ซึ่งก็เป็นคุณสมบัติเดียวกันกับเงินสดที่เราถืออยู่นั่นเอง)

เชื่อว่าในที่สุดแล้วดิจิทัลหยวน จะเข้ามาแทนที่การใช้เงินสดทุกรูปแบบในประเทศจีน และทำให้คนชนบทที่ไม่มีบัญชีเงินฝากธนาคารจำนวนมาก เข้าถึงเงินดิจิทัลได้ (ขอเพียงมีสมาร์ทโฟน โดยไม่ต้องมีเน็ต ก็เพียงพอแล้ว)

อาจจะยังคงมีคนสงสัยอยู่ว่า ถ้าจะต่างกันเพียงเท่านี้ แล้วธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆจะสร้างเงินดิจิทัลขึ้นมาทำไมให้เหนื่อยแรง? สิ่งที่เงินดิจิทัลอาจเป็นได้ในอนาคตอันยาวไกล (ทั้งนี้ ขึ้นกับนโยบายของแต่ละประเทศ) ก็คือ ทางการสามารถควบคุมได้ว่าผู้ใช้เงิน จะสามารถโอนเงินดิจิทัลให้ใครได้ และไม่สามารถโอนเงินให้ใครได้ หรือไม่สามารถนำเงินไปใช้ในเรื่องใดได้บ้าง ซึ่งหลัก ๆก็น่าจะเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ นอกจากนี้ธนาคารกลางอาจดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจผ่านธนาคารพาณิชย์ เช่น กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์นำเงินไปปล่อยกู้กับกิจการขนาดเล็ก (SME) ซึ่งธนาคารพาณิชย์ก็จะไม่สามารถนำเงินดิจิทัลไปปล่อยกู้ให้กับลูกค้าขนาดใหญ่ได้ เพราะอาจจะโอนไปไม่ได้ หรือกิจการขนาดใหญ่ได้เงินแล้ว ก็เอาไปใช้ต่อไม่ได้ เนื่องจากเงินดิจิทัลที่ได้มานั้น มีเงื่อนไขที่ถูกโปรแกรมมาในตัวเงินนั้นเลย ไม่ต้องไปหาอ่านสัญญากฎระเบียบอะไรเพิ่มเติมให้ยุ่งยาก

เงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currency CBDC) นั้น แม้จะเป็นเงินดิจิทัลเหมือนกัน แต่ก็แตกต่างจากคริปโทเคอร์เรนซี อย่างบิตคอยน์ เป็นอย่างมาก โดย CBDC จะมีความมั่นคงปลอดภัยสูง ผันผวนต่ำ เนื่องจากเป็นเงินที่รับรองโดยธนาคารกลางของประเทศนั้นๆ และธนาคารกลางมีหน้าที่บริหารจัดการค่าเงินให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ซึ่งแตกต่างจากบิตคอยน์ ที่การขึ้นลงของมูลค่าเป็นไปตามปริมาณเทียบกับความต้องการ นอกจากนั้น CBDC ไม่มีต้นทุนการทำรายการ ในขณะที่บิตคอยน์นอกจากจะทำ off-line ไม่ได้แล้ว ยังมีต้นทุนการทำรายการในปัจจุบันที่สูงถึง 10 20 เหรียญฯต่อรายการ (เป็นเหตุให้ใช้บิตคอยน์ซื้อกล้วยแขกได้ลำบาก ยกเว้นต้องจ่ายเงินค่ากล้วยแขก มากพอๆกับการจ่ายเงินซื้อรถ Tesla)

แต่สิ่งที่แลกมากับความดีงามข้างต้นของการใช้ CBDC นั้น ก็คือผู้ใช้มีโอกาสถูกติดตามการทำธุรกรรมใด ๆโดยทางการ ซึ่งแตกต่างจากบิตคอยน์ที่รายการต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น จะถูกสอบยันระหว่างกันอย่างอิสระ โดยไม่มีทางการเข้ามาเกี่ยวข้อง

เพราะเหรียญฯนั้นมีสองด้านเสมอ ขึ้นกับว่าเราจะให้ความสำคัญกับด้านใดมากกว่ากัน…