มาตรการแก้ PM2.5 จากมลพิษยานยนต์

มาตรการแก้ PM2.5 จากมลพิษยานยนต์

การใช้รถยนต์เป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดฝุ่น PM2.5 ที่สำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเมือง โดยเฉพาะรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลที่มีการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์

*บทความโดย ดร. กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์  และพร้อมพัฒน์ ภูมิวัฒน์

ฝุ่น PM2.5 ในประเทศไทยมักจะสูงเกินเกณฑ์มาตรฐานโดยเฉพาะในช่วงปลายปีถึงต้นปี ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยทางอุตุนิยมวิทยาที่เกิดขึ้นในฤดูหนาว โดยมวลความกดอากาศสูงที่แผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทย ส่งผลให้ลมสงบ ฝุ่นละอองถ่ายเทได้ยาก นำมาซึ่งการสะสมของฝุ่นละอองในปริมาณที่สูงรวมถึงฝุ่น PM2.5 ด้วย ผลที่ตามมาคือภาระต้นทุนด้านสุขภาพ โดยประชาชนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์ป้องกันฝุ่น PM2.5 หากปล่อยปัญหาฝุ่น PM2.5 ไว้โดยไม่รีบดำเนินการแก้ไขให้ตรงจุด ปัญหาอาจทวีความรุนแรงมากขึ้นในระยะยาว และส่งผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจและคุณภาพสิ่งแวดล้อม

การใช้รถยนต์เป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิด PM2.5 ที่สำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเมือง เนื่องจากเมืองใหญ่โดยเฉพาะกรุงเทพฯ มีปริมาณการใช้รถยนต์สูงและมีสภาพจราจรติดขัด ฝุ่น PM2.5 เป็นหนึ่งในสารมลพิษที่ถูกปล่อยจากท่อไอเสียของรถยนต์หลังจากกระบวนการเผาไหม้ในห้องเครื่อง โดยเฉพาะรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลที่มีการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ ปริมาณของฝุ่น PM2.5 ที่ปล่อยออกมาขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น เทคโนโลยีและมาตรฐานการระบายไอเสียของรถยนต์ น้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ และอายุการใช้งานของรถยนต์ เป็นต้น

        สำหรับแนวทางในการควบคุมปริมาณฝุ่น PM2.5 ที่เกิดจากยานยนต์นั้น ประเทศไทยนำมาตรฐาน European emission standard (มาตรฐาน Euro) ซึ่งกำหนดโดยสหภาพยุโรปมาใช้ในการกำกับควบคุมสารมลพิษที่เกิดจากรถยนต์ โดยมาตรฐาน Euro แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ มาตรฐานการระบายไอเสียของรถยนต์ และ มาตรฐานคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง ปัจจุบัน มาตรฐาน Euro ด้านการระบายไอเสียของรถยนต์แบ่งออกเป็น 6 ระดับ ตั้งแต่มาตรฐาน Euro 1 ถึง Euro 6 โดยภายใต้มาตรฐาน Euro ที่สูงขึ้น ปริมาณสารมลพิษที่เกิดจากรถยนต์จะลดลง ซึ่งรวมถึงฝุ่น PM2.5 ด้วย ปัจจุบัน ประเทศไทยยังคงใช้มาตรฐานการระบายไอเสียของรถยนต์และมาตรฐานควบคุมคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงที่ระดับ Euro 4 และมีการใช้งานรถยนต์เก่าที่มีมาตรฐานการระบายไอเสียต่ำกว่าระดับ Euro 4 อีกเป็นจำนวนมาก

        จากผลการศึกษาของทีดีอาร์ไอ พบว่าแนวทางในการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่เกิดจากภาคยานยนต์ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ผู้ผลิตยานยนต์ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยเน้นการผสมผสานระหว่างมาตรการภาคบังคับและมาตรการภาคสมัครใจ เพื่อนำไปสู่การลดฝุ่น PM2.5 จากภาคยานยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

        ภาครัฐควรยกระดับมาตรฐานการระบายไอเสียของรถยนต์และมาตรฐานคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงจาก Euro 4 ไปสู่มาตรฐาน Euro ที่สูงขึ้น ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะช่วยลดปริมาณฝุ่น PM2.5 และสารมลพิษอื่นๆ ที่ปล่อยจากรถยนต์ อย่างไรก็ดี การยกระดับมาตรฐาน Euro สำหรับรถยนต์ใหม่และการยกระดับมาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงไม่เพียงพอที่จะทำให้ปริมาณฝุ่น PM2.5 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จำเป็นต้องมีการใช้มาตรการอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะการจัดการปัญหาการใช้รถยนต์เก่าซึ่งปล่อยฝุ่น PM2.5 ในปริมาณที่สูง ตัวอย่างมาตรการจัดการรถยนต์เก่า ได้แก่ การปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ประจำปี การจำกัดอายุการใช้งานของรถยนต์ เป็นต้น โดยทั้งสองมาตรการมีการใช้ในต่างประเทศ

สำหรับภาษีรถยนต์ประจำปี ประเทศในทวีปยุโรป เช่น ประเทศมอลตา มีการเก็บภาษีรถยนต์ประจำปีสำหรับรถยนต์เก่าในอัตราที่สูงขึ้น เพื่อจูงใจให้ผู้ใช้รถไม่ใช้รถคันเดิมเป็นเวลานานเกินไป นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมการซื้อรถยนต์ใหม่ที่ไม่สร้างมลพิษทางอากาศ เช่น รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) ผ่านการอุดหนุนจากภาครัฐในรูปแบบต่าง ๆ

        อย่างไรก็ดี ภาครัฐต้องพิจารณาผลกระทบของมาตรการข้างต้นที่อาจจะเกิดกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ อย่างรอบด้าน เพื่อให้ต้นทุนที่เกิดจากการใช้นโยบายมีความสมเหตุสมผลกับการได้มาซึ่งคุณภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น เช่น กำหนดระยะเวลาในการเปลี่ยนผ่านระหว่างมาตรฐาน Euro ต่างๆ ที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้ผลิตรถยนต์ โรงกลั่นน้ำมัน และ ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ มีเวลาในการเตรียมตัวที่เพียงพอ นอกจากนี้ ภาครัฐอาจต้องพิจารณามาตรการสนับสนุนหรือชดเชยให้กับเจ้าของรถยนต์เก่า ในกรณีที่มีการใช้มาตรการกำหนดอายุการใช้งานของรถยนต์เก่า อาจทำให้มีผู้ได้รับผลกระทบจำนวนมาก อีกทั้งส่วนใหญ่อาจเป็นผู้มีรายได้น้อยที่ต้องนำรถยนต์เก่าออกจากระบบและซื้อรถยนต์ใหม่

        สำหรับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในส่วนของผู้บริโภคนั้น ผู้บริโภคอาจช่วยลดปริมาณของฝุ่น PM2.5 ที่เกิดจากยานยนต์ได้ โดยลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวและเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะแทน แต่ภาครัฐต้องพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้เป็นตัวเลือกที่ดึงดูดและน่าสนใจ ทั้งในด้านความครอบคลุมของเส้นทางเดินรถ ราคาที่เหมาะสม รวมถึงบริการเสริมอื่นๆ เช่น ที่จอดรถสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ เป็นต้น

                จากมาตรการทั้งหมด ภาครัฐควรลำดับแผนการดำเนินมาตรการต่าง ๆ อย่างชัดเจนตามความเหมาะสม โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะสั้น: เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสภาพรถยนต์และตรวจจับไอเสีย โดยเฉพาะรถยนต์เก่าที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล จัดทำฐานข้อมูลด้านมลพิษอากาศ รวมถึงสื่อสารกับประชาชนเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและแนวทางการป้องกัน PM2.5 ที่ถูกต้อง

ระยะกลาง: บังคับใช้มาตรฐาน Euro ในระดับที่สูงขึ้นทั้งส่วนรถยนต์และส่วนน้ำมันเชื้อเพลิง ปรับโครงสร้างการเก็บภาษีรถยนต์ประจำปี รวมถึงพิจารณามาตรการที่ส่งเสริมให้มีการนำรถยนต์ที่เก่าออกจากระบบ

ระยะยาว: ส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ประเภทที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ควบคู่กับการพัฒนาระบบโครงข่ายขนส่งสาธารณะต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมให้บริการอย่างทั่วถึง

นอกจากการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ในภาคยานยนต์แล้ว จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการแก้ไขปัญหา PM2.5 ที่มาจากแหล่งกำเนิดอื่น เช่น การเผาเศษวัสดุทางการเกษตร โรงงานอุตสาหกรรม  ซึ่งควรมีการดำเนินการควบคู่กันไปกับมาตรการในภาคยานยนต์ เพื่อให้ผลการแก้ไขปัญหา PM2.5 ในภาพรวมเกิดประสิทธิภาพสูงสุด การได้มาซึ่งคุณภาพอากาศที่ดี จะนำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน.