ตอน : จะ Coach ทีมอย่างไรในยุคโควิดรอบสองให้รอดและรุ่ง!

ตอน : จะ Coach ทีมอย่างไรในยุคโควิดรอบสองให้รอดและรุ่ง!

การระบาดระลอกสองของไวรัสโควิด กว่าจะคลี่คลายและนิ่ง..ต้องใช้เวลาอีกระยะ

Part 1. มั่นใจได้เลยว่าธุรกิจจำนวนไม่น้อย.. ทยอยล้มหายตายจากไป!

การระบาดระลอกสองของไวรัสโควิด กว่าจะคลี่คลายและนิ่ง..ต้องใช้เวลาอีกระยะ ถ้าภาครัฐและภาคประชาชนร่วมแรงร่วมใจกันป้องกันและควบคุม แต่กว่าจะถึงเวลานั้น ก็ต้องเข้าใจโลกแห่งความเป็นจริงที่ไม่ใช่โลกสวยคือ... หลายธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง ที่ขาดแคลนรายได้และเงินทุนหมุนเวียน จะล้มหายตายจากไปจำนวนไม่น้อย น่าเห็นใจจริงๆครับ

Part 2. แล้วที่เหลือรอด ต้องรอดอย่างไร?

ส่วนธุรกิจในทุกขนาดที่ยังรอดอยู่ในทุกวันนี้ เพื่อที่จะให้รอดและผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ หรือถ้าจังหวะดี มีฝีมือนอกจากจะรอดแล้วจะทำให้แกร่งยิ่งขึ้นเพราะเหมือนกับได้วัคซีนมาสองรอบจากการระบาดสองครั้ง

นอกจากการปรับเปลี่ยนแนวทางในการทำธุรกิจ และการบริหารเงินสด (ที่ยังมี)ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดแล้ว การจะให้ทีมงานร่วมแรงร่วมใจอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จะต้องใช้สถานการณ์วิกฤตินี้หล่อหลอมทั้งทัศนคติและทักษะทีมงาน ให้มีอาวุธเพิ่มขึ้นถึงจะผ่านไปได้

Part 3. ผู้นำทุกระดับในบทบาทของ Coach

สำหรับคนที่เป็นผู้นำทุกระดับในองค์กร (ไม่ว่าธุรกิจจะขนาดใดและธุรกิจอะไรก็ตาม) ตั้งแต่ผู้นำสูงสุดไล่ลงมาถึงผู้นำทุกระดับที่มีลูกน้อง เป็นช่วงเวลาที่ต้อง 'รีดและใช้ศักยภาพของผู้นำ' ออกมาให้มากที่สุด ผู้นำและCoach ที่เก่ง จะใช้ทักษะการสื่อสาร การบริหารและ Coach ทีมในสภาวะนี้แบบใด เป็นโจทย์ที่ท้าทาย เพราะถ้าไม่สื่อสาร หรือสื่อสารไม่ดี ไม่มีการ Coach วิกฤติจะซ้อนวิกฤติจนหนักกว่าเดิม

Part 4. แนวทางการเป็น Coach ในสภาวะวิกฤติปัจจุบัน

ลองนำแนวทางการ Coach ทีมงานในสภาวะวิกฤติโควิดระลอกสองไปปรับใช้ดูนะครับ

ขั้นตอนที่หนึ่ง 'สิ่งที่ต้องเลิก'

เลิกคิดว่าทุกอย่างคือความแน่นอน เพราะวิกฤติครั้งนี้สอนบทเรียนให้กับทุกธุรกิจทุกขนาดได้เรียนรู้ว่าไม่มีอะไรแน่นอน รายได้ ลูกค้าที่เคยมีและคาดว่าจะมี หายวับไปกับตาภายในเวลาไม่ถึงเดือน!

เลิกมองว่า ทีมงานมีความสามารถเพียงแค่นี้!

ประเด็นนี้สำคัญสุดๆ! เพราะในสภาวะวิกฤติก่อนโควิดจะมา แต่ละที่มักจะมองเห็นทีมงานในมุมมองเดิมๆ เพราะทีมงานก็มักจะคิดและทำงานแบบเดิมๆในสภาวะปกติ แต่ชั่วโมงนี้ไม่ใช่แล้วครับ!

ที่ว่าไม่ใช่ก็เพราะ....

ขั้นตอนที่สอง 'สิ่งที่ต้องห้าม'

ห้ามคิด ห้ามมอง ห้ามบริหารทีมงานแบบเดิมๆ ในสภาวะวิกฤติเด็ดขาด เพราะไม่รอดแน่! เพราะในสภาวะปกติที่ผ่านมา ท่านอาจลืมคิดไปว่า ทีมงานส่วนมากแทบไม่ได้ใช้ศักยภาพที่แต่ละคนมีในการทำงานเลย! เหตุผลก็เพราะ ส่วนมากทีมงานทำงาน 'ตามสั่ง' ทำงาน 'ตามความเคยชิน' เพราะไม่มีวิกฤติอะไรให้ฝ่าฟัน ส่วนมากไม่ได้มีโจทย์ยากๆที่ท้าทาย ไม่มีสถานการณ์คับขันที่ต้องดิ้นรนไงครับ!

ขั้นตอนที่สาม 'สิ่งที่ต้องเริ่ม'

ในสภาวะแบบนี้ หน้าที่ของผู้นำทีมที่เป็น Coach ต้องสื่อสารให้ทีมงาน 'ดึงศักยภาพที่ซ่อนเร้น' ที่ทุกคนมีแต่ที่ผ่านมาไม่เคยถูกนำมาใช้ ด้วยการใช้คำถาม ด้วยการกระตุ้น ด้วยการสนับสนุนให้กล้าคิด กล้าทำในสิ่งที่ยังไม่เคยทำในสภาวะปกติ

Part 5. ไม่ใช่เรื่องยากถ้าจะเป็น Coach อย่างจริงจังและทำให้ได้ผล!

ทั้งสามอย่างนี้ คือสิ่งที่ผู้นำทุกระดับต้อง Coach ให้ทีมงาน 'เห็นภาพเดียวกัน' ไปจนถึงมองเห็นแนวทางที่จะพัฒนาและเรียนรู้ด้วยตนเองมากขึ้น

Coach โดยการ 'ตั้งคำถามให้ตระหนักแต่ไม่ตระหนก' กับสภาวะปัจจุบัน อธิบายสถานการณ์ของบริษัทในปัจจุบัน คุยเรื่องวิธีการทำงานของทีมงานที่ทำในอดีตที่ผ่านมา เปรียบเทียบให้เห็นชัดว่า มันสอดคล้องกับสภาวะปัจจุบันหรือไม่? ผลที่จะตามมาน่าจะเป็นอย่างไร?

คุยและ Coaching ทีมงานโดยตั้งคำถามให้คิดต่อ เช่น 'วิธีคิดและวิธีการทำงานแบบเดิมๆแบบใด ที่ไม่สามารถนำมาใช้กับสถานการณ์ปัจจุบันได้แล้ว?!'

ถ้าสิ่งที่ทีมงานคิดและคำตอบออกมาทำนองนี้... 'การทำงานแบบไปเรื่อยๆ ทำงานแบบตามสั่ง โดยหวังว่าทุกอย่างจะออกมาได้ผลเหมือนเดิมและดีกว่าเดิมคงเป็นไปได้ยาก'

ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี มาถูกทาง..

หลังจากนั้น Coach โดยการกระตุ้นให้ทีมงานลองเริ่มวิธีคิดวิธีการใหม่ๆ โดยไม่ต้องกลัวความผิดพลาดให้ทีมงานเรียนรู้จากความผิดพลาด จนกระทั่งทีมงาน 'มีภูมิต้านทาน' เหมือนกับวัคซีน ทีมงานจะเริ่มแกร่งและกล้ามากยิ่งขึ้น เพราะถ้ามีอะไรผิดพลาดจะไม่โดนตำหนิ แต่จะได้เรียนรู้ร่วมกัน

ไม่นานอย่างที่คิดครับ ท่านจะได้ 'ทีมงานชุดเดิมที่มีวิธีคิดและวิธีการทำงานที่แตกต่างจากเดิม!' ที่พร้อมจะเป็นกำลังที่สำคัญช่วยให้ธุรกิจของท่านผ่านสถานการณ์การระบาดของโควิดระลอกสองไปได้แน่นอนครับ.