กฎหมายในปีหน้า : รอยต่อจากปี 63 สู่ 64   

กฎหมายในปีหน้า : รอยต่อจากปี 63 สู่ 64   

ผู้เขียนได้วิเคราะห์ทิศทางกฎหมายที่จะเกิดในปี 64 มีทั้งที่จะมีผลบังคับใช้ กลุ่มที่จะเห็นผลชัด และกลุ่มที่คาดว่าจะปรับปรุงแล้วเสร็จ

    ทุกฉบับสุดท้ายของสิ้นปี ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงทิศทางของกฎหมายที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า ซึ่งได้จัดเป็นหมวดหมู่ ดังนี้

            1) กฎหมายที่ถูกเลื่อน/ขยาย และจะมีผลบังคับใช้ปี 64

        กฎหมายในกลุ่มนี้ เป็นกฎหมายที่ได้ประกาศใช้แล้ว แต่ได้เลื่อนหรือขยายการบังคับใช้ออกไปในปี 64 เช่น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่แม้จะประกาศใช้ตั้งแต่ปี 62 แต่ผลจาก พ.ร.ฎ. กำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วน พ.ศ. 2562 พ.ศ. 2563 ส่งผลให้กฎหมายฉบับดังกล่าวเลื่อนการบังคับใช้ออกไป และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิ.ย. 64 และกฎหมายคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งผลจากสถานการณ์โควิดในช่วงต้นปี 63 ที่ผ่านมา ครม. จึงได้มีมติขยายระยะเวลาการบังคับใช้วงเงินการคุ้มครองเงินฝากจำนวน 5 ล้านบาท ซึ่งเดิมจะสิ้นสุดในวันที่ 10 ส.ค. 63 เป็นให้สิ้นสุดในวันที่ 10 ส.ค. 64 ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค. 64 เป็นต้นไป วงเงินคุ้มครองเงินฝากจะปรับลดเหลือ 1 ล้านบาท

       นอกจากกฎหมายที่ได้กล่าวมาในข้างต้น ยังมีมาตรการต่าง ๆ ที่ขยายระยะเวลาเพื่อช่วยลดผลกระทบจากโควิดด้วยเช่นกัน เช่น ธปท. โดยคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการคลินิกแก้หนี้ได้ขยายมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่เข้าโครงการ โดยการลดดอกเบี้ยและการพักชำระหนี้ออกไป จากเดิมที่ให้มีผลตั้งแต่ เม.ษ. - ก.ย.63 ให้มีผลเป็นการขยายความช่วยเหลือจนถึง มิ.ย. 64 และบางมาตรการที่จะสิ้นสุดในเดือน ธ.ค. 63 อาจได้รับการพิจารณาเพื่อต่ออายุออกไป เช่น การขยายระยะเวลาในการส่งเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นต้น

              2) กฎหมายที่มีการประกาศแล้วแต่จะเห็นผลชัดในปี 64

                 กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่กฎหมายได้บัญญัติรองรับกิจกรรมไว้แล้ว แต่อาจยังไม่มีผู้ได้รับใบอนุญาต หรือมีผู้ประกอบธุรกิจน้อยรายในปี 63 เช่น ประกาศกระทรวงการคลังและประกาศ ธปท. เรื่องการประกอบธุรกิจ P2P Lending Platform ซึ่งในปัจจุบันแม้ยังไม่มีผู้ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังในการประกอบธุรกิจดังกล่าว แต่ได้มีผู้ให้บริการระบบ P2P lending platform เข้าร่วมทดสอบอยู่ใน Sandbox ของ ธปท. แล้วจำนวนหนึ่ง (3 ราย ข้อมูล ณ ก.ย. 63)

             นอกจากนี้ ในเดือน ก.ย. 63 จากการที่ ธปท. ได้ออกเกณฑ์ในเรื่องการประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล (Digital lending) (ดอกเบี้ยไม่เกิน 25% ต่อปี วงเงิน 20,000 บาท ชำระคืนภายใน 6 เดือน) ซึ่งได้วางหลักการใช้ “เทคโนโลยี” ในการให้สินเชื่อผ่านช่องทางออนไลน์ และให้ใช้ “ข้อมูลทางเลือก” หรือข้อมูลที่หลากหลายในการวิเคราะห์การให้สินเชื่อโดยไม่จำกัดอยู่เฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประวัติการให้สินเชื่อและการพิสูจน์รายได้ (เช่น ข้อมูลที่เก็บจากกิจกรรมออนไลน์) จึงส่งผลให้ทั้ง Bank และ Non-Bank ให้ความสนใจในการเปิดตลาดสินเชื่อในรูปแบบใหม่นี้ และคาดว่าจะมีผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาตเพิ่มมากขึ้นในปี 64

           สำหรับภาคหลักทรัพย์ ในเดือน ต.ค. 63 ได้มีการออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกำหนดกิจการอื่นที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลให้เป็นธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มประเภทของการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลให้รวมถึง ธุรกิจผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัล” และ “ธุรกิจที่ปรึกษาสินทรัพย์ดิจิทัล” ต่อมาในเดือน ธ.ค. 63 ก.ล.ต. ยังได้ออกประกาศหลายฉบับเพื่อปรับปรุงเกณฑ์การกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลให้เหมาะสมและเป็นไปในทิศทางเดียวกับการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจซื้อขายล่วงหน้า โดยให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 64 ตัวอย่างของเกณฑ์ที่ปรับปรุง เช่น เกณฑ์การกำหนดสัดส่วนการเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลไว้ในระบบที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายเมื่อทำธุรกรรมเท่านั้น (cold wallet), เกณฑ์การจัดการและจัดเก็บข้อมูลการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และเกณฑ์การรายงานการปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้แนะนำรายชื่อลูกค้า หรือทำหน้าที่ติดต่อชักชวนลูกค้ามาให้ใช้บริการ (introducing broker agent) เป็นต้น

 

3) กฎหมายที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 64

   เป็นกลุ่มของกฎหมายภาษีอากรที่ได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ร่างพ.ร.บ. การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มกรณีการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ (e-Service) ซึ่งสภาได้มีมติเห็นชอบเมื่อเดือน พ.ย. 63 ที่ผ่านมา มีวัตถุประสงค์ในการแก้ไขประมวลรัษฎากรเพื่อจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ประกอบการต่างประเทศหรือดิจิทัลแพลตฟอร์ม ซึ่งมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ กฎหมายในกลุ่มแลกเปลี่ยนข้อมูลภาษีอากร เช่น FATCA ก็คาดว่ากฎหมายลำดับรองฉบับต่าง ๆ จะเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้นในปี 64

 

 4) กฎหมายกลุ่มอำนวยความสะดวกในสถานการณ์โควิด

     หากสถานการณ์โควิดยังไม่คลี่คลาย หรือการระบาดกลับมาอีกระรอก อาจมีความจำเป็นในการตราพระราชกำหนดตามกลไกของรัฐธรรมนูญ (อย่างเช่นในปีนี้) ซึ่งเป็นอำนาจนิติบัญญัติของฝ่ายบริหาร
ในการตรากฎหมายเพื่อประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ และความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ

               อย่างไรก็ดี ในปี 63 ได้มีการออกกฎหมายที่ช่วยอำนวยความสะดวกหากมีความจำเป็นในการดำเนินมาตรการ Social distancing ไว้แล้วจำนวนหนึ่ง เช่น พ.ร.ก. การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-Meeting) ที่ใช้ควบคู่กับประกาศกระทรวง DE เรื่องมาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ ETDA เองยังได้มีบริการรับรองระบบควบคุมการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Certification for e-Meeting) ที่ผู้สนใจสามารถขอเข้าตรวจประเมินระบบที่ใช้งานได้

             นอกจากนี้ สำหรับศาล ผลกระทบจากโควิดที่ทำให้ศาลชั้นต้นทั่วประเทศจำเป็นต้องเลื่อนนัดพิจารณาคดีร่วมสามเดือน (มี.ค. - พ.ค. 63) ส่งผลให้ เมื่อเดือน ต.ค. 63 ที่ผ่านมาได้มีการออก “ข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2563” เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับศาลในการพิจารณาคดีความผ่านช่องทางออนไลน์ได้

ดังนั้น ผู้เขียนขอสรุปโดยย่อว่า ทิศทางของกฎหมายในปี 64 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากหลาย ๆ เหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจและสังคมในปี 63 ซึ่งเป็นรอยต่อสำคัญที่จะช่วยให้เราก้าวไปสู่ปี 64 อย่างมั่นคงด้วยกัน            

ท้ายที่สุด สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าผู้อ่านทุกท่าน และพบกันใหม่ในปี 64 ค่ะ.

บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน