ทางออกการเมืองไทย ท่ามกลางมหาวิกฤติเศรษฐกิจโควิดโลก

ทางออกการเมืองไทย ท่ามกลางมหาวิกฤติเศรษฐกิจโควิดโลก

ปรากฏการณ์ทางการเมือง ณ เวลานี้ มิได้เป็นการเคลื่อนไหวในระบอบประชาธิปไตยอย่างที่ต้องการให้ประชาชนเห็น แต่เป็นการเคลื่อนไหวแบบ คณาธิปไตย

การเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบ “คณาธิปไตย” ที่ซ่อนรูปอยู่ในคราบประชาธิปไตย ที่ทั้งสองฟากการเมืองต่างต้องการอำนาจผลประโยชน์ หรือการบรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมืองของกลุ่มตนเป็นหลัก แต่ทำประหนึ่งว่ากลุ่มของตนเองเป็นตัวแทนของประชาชนส่วนใหญ่ อย่างถูกต้องแท้จริง จึงทำให้การเจรจาออมชอมแทบไม่มีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ การปฏิรูปหากเกิดขึ้น ก็จะเป็นแต่โดยผิวเผิน เป็นเพียงรูปแบบ กระบวนการ และก่อให้เกิดการถือครองอำนาจอย่างเหนียวแน่นเพื่อตีกันขั้วตรงข้าม ซึ่งทำให้การชุมนุมประท้วงเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันและในอนาคตจะเป็นความสูญเปล่า และทำให้ประเทศไทยอยู่ในวังวนของการประท้วง ปฏิวัติรัฐประหาร คอรัปชั่น ผูกขาดอำนาจเพื่อกันฝ่ายตรงข้าม เช่นนี้เรื่อยไป

การปฏิรูปที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการปฏิรูปจากภายในตนเองของทุกภาคส่วนที่สำคัญของสังคม ซึ่งต้องหันกลับมาพิจารณา และปฏิบัติอย่างเคร่งครัดครบถ้วนในบทบาท หน้าที่ คุณธรรม จริยธรรมที่จำเป็นต่อฐานะของตน ทั้งฝ่ายผู้ชุมนุม รัฐบาล กระทรวงศึกษาธิการ และสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการปกครองทุกระดับทุกภาคส่วน เพื่อสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ และสื่อสารให้ประชาชนรับรู้เรียนรู้อย่างทั่วถึง ดังนี้แม้แต่แนวคิด “ถอยคนละก้าว” ซึ่งแม้จะถอยห่างจากความเป็นรัฐเผด็จการ แต่ก็เป็นแนวคิดแบบคณาธิปไตย เพราะเน้นเพียง 2 กลุ่มข้างการเมืองเท่านั้น ยังมิต้องกล่าวถึงการเข้าจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุมด้วยกฏหมายทุกมาตรา แทนที่จะจัดการด้วยเสียงประชาชนทุกเสียง ที่เห็นพ้องกับการมุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อประเทศชาติและประชาชนทุกคนของรัฐบาล

 แนวทางที่เป็นประชาธิปไตยแท้จริงคือ การก้าวไปข้างหน้าโดยที่ทุกฝ่ายคำนึงถึงปัญหาและประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นหลัก ซึ่งเชื่อมโยงถึงประเด็นชี้ขาดชัยชนะทางการเมืองของทุกฝ่ายไม่ว่าในกรณีใด คือการครองใจประชาชนส่วนใหญ่ได้ ดังนี้ผู้เขียนจึงขอแนะนำให้ รัฐบาลมีชั่วโมงประชาสัมพันธ์ถึงแผนงาน การประมวลและประเมินผลงานทุกอาทิตย์ และอย่างเต็มรูปแบบ(ทุกกระทรวง)ทุกเดือนผ่านสื่อมวลชนทุกแขนง และกลุ่มผู้ชุมนุมควรแบ่งเวลาและวาระในการชุมนุม โดยเชิญประชาชนทุกภาคส่วนที่มีปัญหาสำคัญและเร่งด่วน หมุนเวียนกันมานำเสนอปัญหา และแนวทางแก้ไขในที่ชุมนุม รวมถึงแจ้งเบาะแสการทุจริตของทุกภาคส่วน ทั้งข้อบกพร่องของรัฐบาล และระบบราชการ พร้อมทั้งข้อเสนอแนะของกลุ่มฯที่เป็นรูปธรรมชัดเจนออกสื่อทุกแขนง

(ทั้งนี้เพราะความชอบธรรมอันเอื้อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวม มิได้บังเกิดขึ้นเพราะเพียงแต่การเอ่ยอ้าง ระบุความไม่ชอบธรรมของฝ่ายตรงข้าม แต่ด้วยการกระทำอันเป็นแบบอย่าง) ประหนึ่งเป็นผู้รับเรื่องร้องทุกข์ และแก้ไขดูแลสุขทุกข์ของประชาชน ซึ่งจะทำให้สามารถครองพื้นที่ในใจของประชาชนส่วนใหญ่ได้มากกว่า การปลูกฝังความเกลียดชังฝ่ายรัฐบาล การถอยหลังคนละก้าว หรือ การใช้กำลังและกฏหมายเข้าจัดการกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งรังแต่จะลดความชอบธรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของทุกฝ่าย

 การเผยแพร่ข่าวสารของรัฐบาลและของกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งในด้านบวกและลบของทั้งสองฝ่ายในครั้งนี้ จะเป็นการยกระดับการให้ความสำคัญและความเข้าใจทางการเมืองของประชาชนทั้งประเทศ เพื่อให้ชาวไทยได้สรุปตัดสินผ่านการทำประชามติ ที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมดูแลตรวจตราเพื่อหาทางออกสำหรับวิกฤติทางการเมืองการปกครองในขณะนี้ เช่น การให้ลงมติ โดยเลือกข้อเสนอเพียง 1 ข้อ จาก 5 ข้อ หรือ ไม่ออกความเห็น เช่นดังตัวอย่างต่อไปนี้

1ให้เร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราที่เกี่ยวกับ สว. แล้วให้ ยุบสภา ลาออก ทันที

2 ให้เร่งแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา ที่เกี่ยวกับ สว. แล้วให้นายกฯลาออกทันที ไม่ต้องยุบสภา

3 ให้รัฐบาลทำงานเต็มกำลังความสามารถจนจบวิกฤติ ระหว่างนี้ก็แก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราที่เกี่ยวกับ สว. แล้วให้นายกฯ ลาออก

4  ให้รัฐบาลทำงานจนครบ 4 ปี ระหว่างนี้ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับแล้ว เลือกตั้งตามปกติ

5  ให้รัฐบาลทำงานจนครบ 4 ปีแล้ว  เลือกตั้งโดยไม่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ

(และข้อสุดท้าย ไม่ออกความเห็น)

 (มิเช่นนั้นประเทศไทยก็จะเป็นเสมือน “บ้านป่าเมืองเถื่อนที่ไม่มีขื่อไม่มีแป” คือเมื่อกลุ่มใดไม่พอใจก็ออกมาประท้วงโดยมิได้คำนึงถึงผลประโยชน์และผลกระทบ และความประสงค์ของประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งมิใช่การเคลื่อนไหวทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นคณาธิปไตยที่เอาแต่ประโยชน์ หรือความชอบชังของกลุ่มตนเองเป็นหลัก) และเมื่อพิจารณาดีแล้ว ลงมติแล้ว (หรือเลือกตั้ง)แล้ว ประชาชนทุกฝ่ายต้องยอมรับ(ผลของ)ความเห็นต่างของประชาชนส่วนใหญ่ (แต่ในกรณีทั่วไปเช่น การเลือกตั้งทุก 4 ปี ให้ประชาชนได้เรียนรู้ที่จะพิจารณาถึงคุณภาพ และปริมาณการทำงานของรัฐบาลตลอด 4 ปี เป็นสำคัญ โดยหากเกิดความบกพร่องผิดพลาดก็ต้อง “อดทน” รับผิดชอบต่อการตัดใจเลือกของตนเอง รอให้มีการเลือกตั้งใหม่  อันเป็นอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่ถูกละเลย) และควรให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ทำให้อำนาจทั้ง 3 ได้แก่นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการมีความเป็นอิสระในตัวเองเพื่อให้เกิดการคานอำนาจตรวจสอบกัน อันก่อให้เกิดความยุติธรรมทางการเมืองขึ้น เช่น การยกเลิกบทเฉพาะกาล ที่ให้ สว.ที่มาจากการแต่งตั้งมีจำนวนมาก และมีบทบาทในการเลือกนายกรัฐมนตรี เป็นเวลา5ปี เป็นต้น

             ต้นเหตุของวิกฤติการเมืองขณะนี้คือ การขาดสำนึกในหน้าที่และขาดคุณธรรมจริยธรรม กำกับตนเองของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับปรากฎการณ์ทางการเมืองขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการ และสถาบันสงฆ์ควรจะตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ในการปลูกฝังศีลธรรม และสำนึกในหน้าที่ของประชาชนทุกคนให้หนักแน่น เพื่อเป็นรากฐานที่มั่นคงของการเมืองและสังคมไทยในอนาคตชั่วลูกชั่วหลาน อาจกล่าวได้ว่าการปฏิรูป หรือการจัดระเบียบปกครองประเทศ ที่แท้จริงนั้น จำเป็นต้องอาศัยเวลาในการปลูกฝัง คุณธรรมทางศาสนาและอุดมการณ์ประชาธิปไตย แก่ชนชั้นปกครองทุกระดับ รวมถึงประชาชนและเยาวชนที่จะต้องเป็นเสาหลักแก่สถาบันครอบครัว อันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสังคมในอนาคตด้วยการสร้างความเข้าใจ และซาบซึ้ง ด้วยการแสดงตัวอย่างเรื่องราว และการทำตนให้เป็นแบบอย่างที่ดี หากชาติไทยมีโครงสร้างพื้นฐานทางการเมืองและสังคมที่มั่นคงดีงาม โอกาสที่จะเกิดวิกฤติการณ์เช่นนี้ก็จะน้อยลงหรือไม่มีเลยก็เป็นได้

            ดังนั้น นอกจากคณะรัฐบาลและกลุ่มผู้ชุมนุม สถาบันที่เกี่ยวข้องกับการปกครองทุกระดับควรสื่อสารประชาสัมพันธ์กับประชาชนอย่างเหมาะสม เช่น สถาบันสงฆ์(ในทุกระดับ) ควรสื่อสารผ่านสื่อกระแสหลัก และสื่อตามยุคสมัยทุกช่องทาง ถึงหลักธรรมทางศาสนาพุทธที่เน้นความสุขสงบ ความไม่เบียดเบียนกัน อีกทั้งมีความรักเมตตาให้อภัยต่อกัน เป็นต้น อันเป็นการแสดงออกถึงความห่วงใยประชาชนทุกคน และรับผิดชอบต่อสังคมทุกภาคส่วน เป็นการทำให้ปรากฏซึ่งคุณค่าและเกียรติคุณแก่ความเคารพศรัทธาของประชาสังคมทุกภาคส่วน และสร้างความเป็นปึกแผ่นมั่นคงแก่ประเทศไทย ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ประมาณ 95% เป็นพุทธศาสนิกชน โดยไม่ลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับการเมือง เช่น การเข้าพวกเลือกฝั่งการเมืองอันเป็นเสมือนสนับสนุนการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายสร้างความแตกแยกให้แก่ประเทศชาติ

วิกฤตการณ์ทางการเมืองในขณะนี้เกิดขึ้นเพราะ ประเทศไทยขาดโครงสร้างพื้นฐานทางสังคมและการเมืองที่มั่นคงโปร่งใส คือ ความมีคุณธรรม มีจิตสำนึกในหน้าที่ และมีอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่แท้จริง ของชนชั้นปกครองและกลุ่มประชาชน ซึ่งแม้ว่าจะเป็นปัญหาหญ้าปากคอก แต่เมื่อทุกฝ่ายละเลย ไม่รับผิดชอบแก้ไขอย่างจริงจังจึงทำให้โครงสร้างทางการเมืองการปกครองไทยสั่นคลอนอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาตลอดระยะเวลาเกือบ100ปี ซึ่งจะแก้ไขได้ก็ด้วยการให้ประชาชนได้รับรู้เรียนรู้ตระหนักถึงความสำคัญของหลักคุณธรรม หน้าที่และอุดมการณ์ กลไกและกฏกติกาของระบอบประชาธิปไตย ผ่านระบบการศึกษา และสื่อรอบตัวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อผลักดัน(และวางรากฐาน)ให้ ชนชั้นปกครองและกลุ่มผู้ชุมนุมต้องตระหนักในอุดมการณ์หน้าที่ของตน และไม่ละเลยการใช้กติกาและกลไกประชาธิปไตย เช่น การลงประชามติ(และการเลือกตั้ง)อย่างโปร่งใส อันเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง และ เพื่อให้ชาติไทยก้าวหน้าไปได้อย่างมั่นคงบนเวทีโลกได้ แม้ต้องเผชิญกับภัยคุกคาม และความเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงหลากหลายรอบด้านในอนาคต////

*บทความโดย ดร.ไพทัน ตระการศักดิกุล, ตระการ ไตรพิเชียรสุข ศูนย์วิจัยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและนวัตกรรมเพื่อการค้าบนมุมมองของความยั่งยืน มหาวิทยาลัยมหิดล (ความเห็นในบทความเป็นทัศนะส่วนบุคคลไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับสถาบันที่ผู้เขียนสังกัดอยู่)