บทเรียนที่สำคัญอันหนึ่งจากภาวะวิกฤติที่แพร่กระจายไปทั่วโลก

บทเรียนที่สำคัญอันหนึ่งจากภาวะวิกฤติที่แพร่กระจายไปทั่วโลก

กลุ่มประเทศหลายกลุ่ม ประสบภาวะวิกฤติเศรษฐกิจมาแล้วหลายครั้งสืบเนื่องมาจากหลายสาเหตุ ยืนยัน “ความเสี่ยง” ในรูปแบบต่างๆ

ภาวะวิกฤติโควิด-19 ที่ได้ส่งผลเสียแพร่กระจายไปแทบทุกประเทศนี้ คงทำให้เราจำได้ว่า  ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมาแม้เศรษฐกิจทั่วโลกจะได้ประโยชน์ในหลายรูปแบบจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการเปิดเสรีให้มีการแข่งขันกันมากขึ้นก็ตาม  กลุ่มประเทศหลายกลุ่มก็ได้ประสบภาวะวิกฤติเศรษฐกิจมาแล้วหลายครั้งสืบเนื่องมาจากหลายสาเหตุ  ภาวะวิกฤติเหล่านี้ยืนยันว่า “ความเสี่ยง” ในรูปแบบต่าง ๆ (เช่น ความผันผวน  ไม่แน่นอน  ซับซ้อน  คลุมเครือ)  เป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งทั้งในการประกอบธุรกิจของเอกชนและการดำเนินนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐ  เพราะความเสี่ยงเหล่านั้นก่อผลกระทบที่รุนแรงได้แก่ทั้งประเทศที่ก่อวิกฤติและประเทศคู่ค้าหรือข้างเคียง (เนื่องจากวงจรการเงิน  การค้า  และจิตวิทยา)

            ตามแนวโน้มปกติแล้ว  ธุรกิจเอกชนแทบทุกประเภทมักมีจุดประสงค์หลักเหมือนกันคือ  ทำกำไรให้สูงสุดโดยใช้ช่องทางหรือกลยุทธ์หลายรูปแบบ  เช่น  ลงทุนในธุรกรรมใหม่ ๆ และ/หรือ เป็นจำนวนมาก  แต่สิ่งหนึ่งที่หลายธุรกิจเหล่านั้นกลับมองข้ามหรือให้ความสำคัญไม่เพียงพอคือ  ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง      ในแง่นี้หวังว่าวิกฤติเศรษฐกิจในอดีตคงให้ข้อเตือนใจแก่นักธุรกิจบ้างว่าควรมีความรอบคอบและมองการณ์ไกล  ซึ่งตรงกับที่รัชกาลที่ 9 ได้ทรงให้คติที่สั้นและกินใจความได้ดีมากว่า  “คิดก่อนพูด  คิดก่อนทำ”  นอกจากนั้น  นักธุรกิจควรให้ความสำคัญแก่ความพร้อมของฐานะและความสอดคล้องกับสถานภาพของตนหรือนโยบายหลักของรัฐด้วย

            ในหลายประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีรายได้และการศึกษาต่ำ  ความเสี่ยงประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายสืบเนื่องมาจากการขาดข้อมูลข่าวสารธุรกิจที่ถูกต้องและทันสมัย  ทำให้ธุรกิจเอกชน และ/หรือ ประชาชนที่เกี่ยวข้องประสบปัญหาที่รุนแรงได้  ดังนั้น  ในแง่นี้หน่วยงานของรัฐสามารถเข้ามามีบทบาทในการติดตามและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารล่าสุดให้สาธารณชนทราบล่วงหน้า  เพื่อช่วยให้เอกชน  และ/หรือ เศรษฐกิจส่วนรวมไม่ประสบปัญหาหรือสภาวะวิกฤติ  ทั้งนี้ควบคู่กับข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้อง   รัฐอาจจำเป็นต้องวางกฎเกณฑ์ข้อบังคับหรือข้อเตือนใจให้เอกชนทราบเกี่ยวกับธุรกิจเหล่านั้นด้วย  อนึ่ง กฎเกณฑ์หรือข้อบังคับเหล่านั้นก็ไม่ควรจำกัดหรือเข้มงวดมากเกินไป  เพราะโลกธุรกิจในยุคปัจจุบันมีคุณลักษณะอย่างหนึ่งที่ตรงกับ “อนิจจัง” ในพุทธศาสนา คือ ความไม่เที่ยง  ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอ

            กลยุทธ์หนึ่งที่จะช่วยให้ทั้งรัฐและเอกชนสามารถต่อสู้กับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลง (ของราคา  ความต้องการ และอื่น ๆ ) ในตลาดโลก  คือ การ “กระจาย” ประเภทของสินค้าและตลาด  ประเภทของสินค้าในที่นี้หมายถึงชนิดของผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรกรรม  อุตสาหกรรม  และบริการ         ส่วนประเภทของตลาดนั้นหมายถึงตลาดภายในและตลาดภายนอกประเทศ  การกระจายนี้จะช่วยลด      ความเสี่ยงและถ่วงน้ำหนักระหว่างผลตอบแทนและความเสี่ยงอย่างเหมาะสมจนทำให้ผู้ประกอบการและเศรษฐกิจส่วนรวมสามารถเข้าสู่จุดสมดุล (หรือ “มัชฌิมา” ) ได้อย่างยั่งยืน  ในการลดความเสี่ยงโดยกลยุทธ์ “กระจาย” นี้อาจให้ผลตอบแทนสุทธิที่ต่ำกว่ากลยุทธ์ “กระจุก” บ้างในบางเวลาก็ตาม  แต่โดยเฉลี่ยใน   ระยะยาวแล้ว  กลยุทธ์กระจายจะให้ผลตอบแทนที่ราบรื่นหรือสม่ำเสมอมากกว่ากลยุทธ์กระจุก  เพราะ    การลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องก็มีมูลค่าเช่นเดียวกับผลตอบแทน 

นอกจากนั้น  ผลดีอีก 2 ประการของนโยบายกระจาย  คือ เพิ่มเสถียรภาพให้แก่กระแสรายได้  และลดความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ให้แก่เศรษฐกิจส่วนรวมด้วย

            ประสบการณ์ของเกษตรกรที่จะกล่าวต่อไปนี้ยืนยันว่าการกระจายดีกว่าการกระจุกอย่างแน่นอน  (1) คุณชาญ  มั่นฤทธิ์  ที่อำเภอพรหมพิราม  จังหวัดพิษณุโลก (โทร. 089-708-3633) ประสบความสำเร็จในการทำการเกษตรโดยลดการปลูกข้าวในพื้นที่  15  ไร่ เหลือเพียง 7 ไร่  และใช้พื้นที่ 8 ไร่ ที่เหลือไปปลูกพืชผักอื่น ๆ อันได้แก่  พริก  ตะไคร้  ถั่วพู  มะเขือ  กะเพรา  โหระพา  มะพร้าว  ขนุน  กล้วย  มะละกอ  ไผ่  การเปลี่ยนแปลงไปทำการเกษตรแบบผสมผสานนี้ไม่ต้องใช้เงินทุนหรือแรงงานสูง  แต่ผลตอบแทนจากการแปรรูปนี้กลับสูงกว่าการปลูกข้าวในเชิงเดี่ยวมากพอควร 

นอกจากนั้น  ผลตอบแทนสุทธิที่คุณชาญได้รับยังสม่ำเสมอและยั่งยืนอีกด้วย (2) คุณมนูญ  สุวรรณชาตรี  ที่อำเภอควนโดน จังหวัดสตูล (โทร. 061-181-7247)  ได้เปลี่ยนสภาพสวนยางพาราผืนใหญ่ 17 ไร่ มาเป็นยางพาราเพียง 3 ไร่  และนำพื้นที่ 14 ไร่ ที่เหลือไปปลูกพืชสวนผสม  ตัวอย่างเช่น  ยอดชะอม  มะละกอ  ตะไคร้  ขมิ้น  ข่า  กล้วย  สะตอ  การเปลี่ยนรูปแบบการเกษตรเชิงเดี่ยวมาเป็นเชิงผสมนี้  ช่วยสร้างรายได้ให้แก่คุณมนูญอย่างสม่ำเสมอและเป็นที่น่าพอใจของครอบครัว  ปัจจัยที่มีส่วนช่วยมาก  ได้แก่  ความต้องการของตลาด  และเสถียรภาพของราคาที่เกี่ยวข้อง

            สิ่งที่น่าเสียดายคือ  มีเกษตรกรแบบผสมนี้เป็นจำนวนน้อยมากในประเทศไทย  ทำให้เกิดการกระจุกตัวและก่อความเสี่ยงเป็นอันมากแก่ทั้งตัวเกษตรกรและเศรษฐกิจส่วนรวม  หลักฐานของการกระจุกตัวนี้ดูได้จากสัดส่วนในมูลค่าของผลผลิตการเกษตรทั้งสิ้นของประเทศ  45%  ของมูลค่านี้มาจากข้าว (20 %),    ยาง (20 %)  และมันสำปะหลัง (5 %)  การกระจุกตัวเช่นนี้ทำให้ประมาณ  50%  ของการส่งออกสินค้าเกษตรกรรมของไทยขึ้นอยู่กับสินค้าเพียง  3  ประเภทนี้ 

การที่ไทยได้เข้าพึ่งตลาดโลกเป็นหลักให้แก่ผลผลิตการเกษตรจำนวนน้อยประเภทเช่นนี้  ก่อให้เกิดความเปราะบางแก่ภาคเกษตรกรรมของไทยเป็นอันมาก  เนื่องจากความผันผวนของราคา  ความต้องการ  และข้อตกลงหรือข้อขัดแย้งอื่น ๆ ในตลาดโลกที่มีอยู่มาก  และไทยอาจไม่สามารถใช้อิทธิพลคุมตลาดได้ตามที่ต้องการ  นอกจากนั้น  ปัญหาจากการกระจุกตัวนี้          ก็เกิดขึ้นในภาคอุตสาหกรรมของไทยเช่นเดียวกัน  ประมาณ  50%  ของมูลค่าผลผลิตอุตสาหกรรมทั้งสิ้นเกาะตัวอยู่ในกลุ่มอาหาร    ปิโตรเคมี  คอมพิวเตอร์  เคมีภัณฑ์  และรถยนต์  ขณะที่ 50%  ของผลผลิตรถยนต์  คอมพิวเตอร์  อัญมณีเครื่องประดับ  และยาง  ก็พึ่งการส่งออกสู่ตลาดโลกเป็นหลัก

            การศึกษาที่กล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นชัดว่าในทุกภาคเศรษฐกิจของไทย  ควรมีการกระจายประเภทสินค้าหรือผลผลิตมากกว่าปัจจุบันเป็นอันมาก  เพื่อจุดประสงค์ที่จะลดความเสี่ยงอันเนื่องมาจากการแปรผันของราคาและสภาวะตลาดที่เกิดขึ้นตลอดเวลาและยากที่จะคาดการณ์ได้ถูกต้อง  ในจุดนี้บางฝ่ายอาจโต้แย้งว่าเอกชนในไทยคงยังไม่สามารถกระจายประเภทผลผลิตได้ตามที่เสนอแนะข้างต้น  เพราะธุรกิจส่วนใหญ่ของเอกชนยังมีขนาดเล็กหรือเป็น SMEs 

อย่างไรก็ตาม  ขณะนี้ผู้ประกอบการเอกชนรายเล็กก็มีการรวมกลุ่มจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนขึ้นเป็นอันมาก (91,971  แห่ง  เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2563 ตามรายงานจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตร)  หากการรวมตัวกันเป็นเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนเหล่านี้สามารถตกลงจัดทำระบบการกระจายประเภทและปริมาณผลผลิต รวมทั้งแผนปันผลอย่างยุติธรรมได้ (ดังเช่นสหกรณ์ที่ดี)  ผู้ประกอบการเอกชนคงมีความเข้มแข็งมากขึ้น  และสามารถต่อสู้กับความเสี่ยงได้ดีขึ้น  นอกจากนั้น รัฐสามารถเข้าช่วยกระตุ้นการกระจายประเภทผลผลิตของภาคเอกชนได้อย่างแน่นอน  โดยให้แรงจูงใจบางอย่าง (ที่อาจคล้ายกับนโยบาย “ช้อปดีมีคืน”) แก่ผู้ประกอบการเอกชนที่กระจายประเภทผลผลิตของตนได้สำเร็จ

*บทความโดย ดร.ปกรณ์  วิชยานนท์ อดีตผู้อำนวยการวิจัย (ด้านตลาดเงินตลาดทุน) สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)

160554323888