โอกาสเปิดกว้าง แต่กลับไม่เปิดใจ

โอกาสเปิดกว้าง แต่กลับไม่เปิดใจ

ในสังคมโลกที่ปรับเปลี่ยนไป ผู้คนติดต่อกันสะดวกขึ้น เข้าใจในวัฒนธรรมกันและกันมากขึ้น โดยมีภาษาอังกฤษเป็นตัวกลางในการเชื่อมประสาน

 “หากเลือกได้ ทักษะที่อยากจะมีให้คล่อง ให้เก่งมากกว่านี้ ควรฝึกตั้งแต่เด็ก คือ ภาษาอังกฤษ  เสียดายที่มิได้ฝึกฝนให้เก่งตั้งแต่เด็ก  มาวันนี้ก็เลยต้องมาเคี่ยวเข็ญ  เราต้องการความเป็น Fluency เลย   เราไม่ต้องการแค่พูดได้  แต่เราประสงค์อยากพูดให้เก่งไปเลย”  คุณเคน “นครินทร์ วนกิจไพบูลย์” พิธีกรชื่อดังจากรายการ “The Secret Sauce” ได้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นของภาษาอังกฤษที่มีในชีวิตประจำวัน และการประกอบกิจการงานของเขา

 การคล่องในภาษาอังกฤษช่วยให้เข้าใจและสามารถแสดงความเห็นต่างในบริบทแห่งสังคมพหุวัฒนธรรมนี้ได้ จากความจำเป็นดังกล่าว แทนที่จะได้รับการผลักดันสนับสนุนอย่างจริงจังจากรัฐบาลหรือผู้บริหารระดับสูงของประเทศ แต่กลับไม่ได้รับการใส่ใจเท่าที่ควรจะเป็น ตรงกันข้ามกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย, สิงคโปร์ ที่เขาแปรความฝันเป็นความจริงได้สำเร็จมาแล้ว  คนไทยเรากลับย่ำอยู่กับที่และดูถูกกันเองว่าคนนั้นพูดไม่ถูก คนโน่นสำเนียงไม่ดี คนนี้พูดผิดไวยากรณ์

            ความจริงคนที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ (EFL) ยากที่จะให้สำเนียงและสำนวนเหมือนฝรั่งเป๊ะ ยิ่งไม่มีโอกาสได้ไปเรียนเมืองนอก สภาพแวดล้อมไม่เอื้อต่อการเรียนเสียแล้วก็ยากที่จะสำเนียงดีเยี่ยม  แต่ก็มิได้หมายความว่าจะสามารถเลียนแบบให้เสียงเหมือนฝรั่งไม่ได้ หากมีความพยายาม และขยันหมั่นเพียรในการฝึกฝน ก็สามารถประสบความสำเร็จในการเรียนได้เช่นกัน มีตัวอย่างให้เห็นมากมายที่ไม่เคยไปเรียนเมืองนอกเลย (อยู่แต่นอกเมือง) กลับมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการฝึกฝน ก็สามารถสื่อสารได้อย่างมั่นใจ คล่อง และถูกต้องได้

            ความพยายามที่สถาบันการศึกษาไทยจะสอนภาษาอังกฤษให้กับสมาชิกในสังคมตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา จนเราก้าวผ่านสู่ยุคแห่งการแพร่กระจายของข้อมูลข่าวสาร (Information Explosion) โดยมีเทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นพาหะอันทรงพลัง  แต่ผลที่ได้รับกลับไม่สมดุลกับโอกาสที่ได้รับเท่าไรนัก แม้นปัจจุบันจะมีทางเลือกในการเรียนที่กว้างกว่า (อดีตในห้อง  มาสู่การเรียนทางไกล จบท้ายที่การเรียนตามอัธยาศัย) ทุกที่เป็นห้องเรียน ห้องสมุดกว้างไกล หนังสือมีตัวตน ครูตอบคำถามคาใจเราได้ทุกเวลา   

             รูปแบบการเรียนการสอนก็ปรับให้เข้ากับยุคการเปลี่ยนแปลง  โดยคนยุคใหม่ใส่ใจการเรียนออนไลน์มากยิ่งขึ้น   เทคโนโลยีหาใช่แต่เป็นเพียงเครื่องมือสื่อสารและความบันเทิงเท่านั้น หากแต่เป็นตัวช่วยสนับสนุนเกื้อกูลส่งเสริมให้การเรียนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ความรู้มิใช่ครูเป็นผู้ถ่ายทอดในห้องเรียนอีกต่อไป  หากแต่เสิร์ฟถึงห้องนอน   เป็นการถ่ายทอดประสบการณ์ผ่านอุปกรณ์สมัยใหม่ ทั้งการเรียนในระบบ e-Learning, Thaimooc, YouTube, Socrative, Quizziz, Plickers, Kahoot เป็นต้น      เป็นการเดินทางมาคู่กันระหว่างดิจิทัลกับภาษาอังกฤษ กล่าวคือ การนำเอาดิจิทัลมาเป็นอุปกรณ์ในการถ่ายทอดเนื้อหาภาษาอังกฤษให้น่าสนใจ ช่วยให้บทเรียนทันสมัย บริการได้กว้างไกลกว่าที่ปรากฏในรูปหนังสือทั่วไป

วันนี้ นิเวศการศึกษาภาษาอังกฤษได้ปรับเปลี่ยนไปตามบริบทสังคมและพัฒนาการของเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยมีเป้าหมายในการเรียนภาษาคือ  ความคล่องและความถูกต้องเป็นตัวตั้ง    เห็นได้ชัดว่าที่ผ่านมาเราเน้นที่ Accuracy (ความถูกต้อง) มี Grammar เป็นตัวกำกับ ไม่สามารถนำพาเราไปสู่เป้าหมายได้ เรียนอ่าน-เขียนก่อนค่อยเรียนฟัง-พูด  ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เขาลด Accuracy ลง แต่ไปให้ความสำคัญเรื่อง Fluency (ความคล่อง) เขาเรียนเป็นก้อน จำเป็นวลี ท่องเป็นประโยค  แทนที่จะท่องศัพท์หรือเน้นโครงสร้างทางไวยากรณ์เป็นหลัก  ดังนั้น บริบทต้องเปลี่ยน ปรับสภาพแวดล้อมให้กลายเป็นภาษาอังกฤษมากยิ่งขึ้น  มิฉะนั้น เมื่อวันเวลาผ่านไปความรู้ก็จะกลับไปอยู่ในตำราเหมือนเดิม เมื่อไม่ได้ใช้ แม้นจะเรียนมาหลายปีก็จะขาดความมั่นใจเวลาพูด

          คนยุคนี้จะต้องมี 2 ทักษะสำคัญ ได้แก่ Digital Skills และ Professional Skills  ทักษะทางวิชาชีพ เป็นความรู้ในสาขาที่เราจบมา โดยมีเงาของภาษาอังกฤษเป็นตัวกำกับเดินเคียงข้างมาไม่ห่าง ทุกสาขาอาชีพต้องมีความรู้ทางภาษาอังกฤษระดับใช้งานได้ มิฉะนั้น จะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง หรือขาดความก้าวหน้าในอาชีพ แต่เราจะถึงจุดที่มีภาษาอังกฤษเป็นเงาตามตัวเราได้อย่างไร?

  1. ต้องจริงจังกับการฝึกฝน (Total Immersion Method) เอาตัวเราเข้าไปหมกมุ่นอยู่กับภาษาอังกฤษให้ได้มากที่สุด สร้างสภาพแวดล้อมให้เป็นภาษาอังกฤษ คิด พูดเป็นภาษาอังกฤษเมื่อมีโอกาส แปรสิ่งรอบตัวให้เป็นห้องเรียนภาษาอังกฤษ
  2. อดทนต่อการฝึกซ้อม (Practice a lot) คนที่จะคล่องต้องรู้จักซ้อม นักดนตรีที่เก่งต้องซ้อม

ซ้อม แล้วก็ซ้อม  นักกีฬาแต่ละคนกว่าจะทำได้อย่างชำนาญไม่ผิดพลาดนั้น เป็นเพราะเขาซ้อมอยู่วันละหลายชั่วโมง ภาษาเป็นทักษะที่เกิดจากการทำบ่อยๆ จนเกิดความเคยชิน พูดให้คล่องจนติดปาก

  1. พูดย้ำ ซ้ำซาก จนซึมซับ (Review & Repeat) ภาษาจะเกิดความคล่องมาจากการทบทวน

อยู่เสมอ ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนปากเราขยับได้เอง หากจะพูดคำนี้นึกขึ้นมาปุ๊บ ปากมันขยับเองปั๊บทันที เป็นเพราะเราทำอยู่บ่อยๆจนคุ้นเคย

  1. ใช้เป็นแรงขับเคลื่อนในชีวิตจริง (Integrate English into your everyday Life) หางาน

อดิเรกทำเป็นภาษาอังกฤษ ดูหนัง ฟังเพลง ฟังข่าว ดูยูทูบภาคภาษาอังกฤษ ประยุกต์บทเรียนภาษาอังกฤษให้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเรา

  1. ค่อยๆฝึกทุกวันไป ไม่หักโหม (Make yourself a little time to study everyday) ค่อยๆศึกษาไปทีละนิดทีละหน่อย แต่เรียนรู้ทุกวัน มิฉะนั้นจะลืม ทำทุกวันแต่ไม่ต้องหักโหม มีวินัยในการฝึกฝน ไม่ต้องรีบกับผลลัพธ์ ความสำเร็จมิได้มาจากครั้งเดียวที่เราทำ หากแต่มาจากหนึ่งในสิบ หรือหนึ่งในร้อยที่เราลงมือทำ
  2. จดจำเป็นกลุ่มคำหรือประโยค (Study phrases, not just single word) การศึกษาเป็นกลุ่มคำ หรือวลี หรือประโยคจะช่วยให้เราเข้าใจสถานการณ์ของการใช้ศัพท์นั้นๆ ใช้ได้อย่างถูกต้องตามหลักภาษา เข้าใจรูปประโยคว่าใช้คำนี้ในประโยคอย่างไร และจะเชื่อมโยงกับประโยคอื่นอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาแปล เวลาปรากฏในบริบทนี้ศัพท์นี้จะมีความหมายอย่างนี้ เป็นต้น เพราะหนึ่งคำมีหลายความหมาย

 

ในการฝึกฝนนั้น อย่าอาย อย่ากลัวผิด คุณอุดม แต้พานิช นักพูดชื่อดังเคยให้ข้อคิดว่า การแป๊ก คือวัคซีนที่ดีที่สุด  ความล้มเหลวคือหนทางนำไปสู่ความก้าวหน้า  หากเราไม่หยุด ไม่ท้อ ไม่ถอยเสียก่อน ก็จะพบกับความสำเร็จในที่สุด  และอย่าเอาความสำเร็จในอดีตมาเป็นบรรทัดฐาน พร้อมที่จะล้มเหลว และลองเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ  การเรียนภาษาก็เช่นกันไม่ว่าภาษาอะไรก็ตามต้องเริ่มจากการพูดผิดก่อน แล้วค่อยๆปรับเสียงและสำเนียงให้ใกล้เคียงกับต้นฉบับให้มากขึ้นเรื่อยๆ พูดซ้ำๆ ทำบ่อยๆ “ครูคริส” คริสโตเฟอร์ ไรท์ เรียนพูดภาษาไทยก็อาศัยการพูดผิด พูดถูกก่อน แต่เขาก็อาศัยการพูดบ่อยๆ ในที่สุดก็คล่องทั้งสองภาษา ทั้งคริสตี้, โจนัส, และ แอนดรูว์ บิ๊กก์, ที่พูดภาษาไทยได้คล่อง ต่างก็อาศัยการฝึกในรูปแบบเดียวกันทั้งสิ้น ยอมที่จะรับฟังคำหัวเราะเยาะเพราะการออกเสียงผิดในตอนแรกๆ แต่เสียงหัวเราะเยาะเหล่านั้นก็ได้กลายเป็นบันไดหิน เป็นพลังผลักดันให้พวกเขาไปถึงจุดหมายได้ในที่สุด

 

ดังนั้น  “โอกาส” ก็เหมือนกับ “อากาศ” แม้นมองไม่เห็น แต่ก็มีอยู่รอบตัวเรา รู้สึกได้ สัมผัสได้ และเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ แต่ใครจะสามารถคว้ามันได้หรือใช้ประโยชน์จากมันได้มากที่สุดนั้น ก็สุดแล้วแต่ศักยภาพที่แต่ละคนมี 

 

มาวันนี้ โอกาสในการฝึกฝนได้เปิดกว้าง ภาษาอังกฤษมีอยู่รอบตัวเรา ไฉนเราไม่ใช้ความได้เปรียบเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์ ลองเปิดใจให้พร้อมที่จะพัฒนาภาษาอังกฤษเราให้ก้าวหน้า ทั้งฟัง พูด อ่าน เขียนกันดีกว่า

*บทความโดย ผศ.บุญเลิศ วงศ์พรม มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตขอนแก่น [email protected]