ลงทุนใน 'หุ้นกลางห้อง'

ลงทุนใน 'หุ้นกลางห้อง'

เปรียบกับการลงทุน คนในตลาดส่วนใหญ่มักชอบ 'หุ้นหน้าห้อง'

สมัยเรียนชั้นมัธยมที่บดินทรเดชา ผมเป็น 'เด็กกลางห้อง' เมื่อใดก็ตามที่มีการขึ้นชั้นเรียนใหม่ ผมมักจับจองที่นั่ง 'กลางห้อง' อยู่เป็นนิจ คำว่ากลางห้องในที่นี้ คือที่นั่งนับจากแถวสองลงมา แต่ไม่ใช่ 2-3 แถวสุดท้ายของห้องเรียน

ข้อดีของการนั่งในตำแหน่งดังกล่าว คือทำให้ไม่เป็นที่สนใจของอาจารย์ และไม่ถูก 'เรียกตอบ' เหมือนกับ 'เด็กเรียน' ที่นั่งอยู่หน้าห้อง ซึ่งทำให้เครียดอยู่เสมอ ในทางตรงข้าม ก็ไม่ตกเป็นเป้าให้อาจารย์ดุๆ เพ่งเล็ง เมื่อเทียบกับเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่หลังห้อง ซึ่งมักโดนหมายหัวว่าเป็น 'เด็กเก' หรือ 'เด็กเฮี้ยว'

ผมใช้หลักนี้กับการดำรงชีวิตในวัยเรียนเสมอมา และทำให้ในสมุดพกของผมไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย ครูประจำชั้นแทบทุกคนระบุความประพฤติของผมว่า 'เรียบร้อย' แม้จะไม่ใช่นักเรียนแถวหน้าที่สอบได้ที่หนึ่งหรือถูกส่งเป็นตัวแทนไปประกวดชิงรางวัล แต่ผมก็ไม่เคยหาเรื่องให้ตัวเองเดือดร้อน ไม่เคยถูกเรียกเข้าห้องปกครองเลยสักครั้ง

หากจะเปรียบกับการลงทุน คนในตลาดส่วนใหญ่มักชอบ 'หุ้นหน้าห้อง' คือกลุ่มหุ้นที่ได้รับความนิยมสูง เช่นพวก superstock หรือหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ ยิ่งถ้าเป็นหุ้นหน้าห้องประเภท 'โตไว' คล้ายๆ กับเด็กหน้าห้องที่เรียนดี-กีฬาเด่น เข้าทำนอง 'เก่งทั้งเรียน-ทั้งเล่น' พวกนี้ก็ยิ่งเป็นที่ชื่นชอบของฝูงชน

ปัญหาคือ หุ้นประเภทนี้ราคามักแพงอยู่เสมอ ทำให้โอกาสทำกำไรจังๆ มีค่อนข้างน้อย

นักลงทุนที่ชอบสวนกระแสหลายคนจึงหันไปนิยม 'หุ้นหลังห้อง' เช่น หุ้น turnaround หุ้นที่ผ่านกระบวนการฟื้นฟูกิจการมาก่อน เพราะมองว่ามีโอกาสทำกำไรได้หลายเด้ง แต่แน่นอน หุ้นหลังห้องก็เปรียบเสมือนเด็กหลังห้อง คือความเสี่ยงสูง แม้จะมีโอกาสได้กำไรหลายสิบเท่า ทว่าก็มีโอกาสเจ๊งหมดตัว เหมือนเด็กหลังห้องที่เลือกเดินทางผิดและหลงเข้ารกเข้าพง

นี่คือเหตุผลที่ผมชื่นชอบ 'หุ้นกลางห้อง' เป็นหุ้นที่ไม่อยู่ในสปอตไลท์ แต่ธุรกิจมีความมั่นคง ความเสี่ยงต่ำ ไม่หวือหวาแต่แทบไม่มีโอกาสเจ๊ง แม้จะรวยช้า แต่ด้วยพลังของผลตอบแทนทบต้น จึงมีโอกาสเสริมสร้างพอร์ตให้แข็งแกร่งได้อย่างยั่งยืนไม่แพ้หุ้นประเภทอื่นๆ

ที่สำคัญที่สุดก็คือ มันทำให้ผมมีความสุขตามอัตภาพ นอนหลับสบาย ชีวิตเด็กกลางห้องมีความสุขสงบฉันใด นักลงทุนที่เลือกหุ้นกลางห้องก็มีโอกาสมีความสุขได้ฉันนั้น

อย่างไรก็ตาม ถ้าหุ้นกลางห้องตัวไหนถูกผลักไปอยู่ 'หน้าห้อง' และกลายเป็นที่จับจ้องของสาธารณชนจนราคาเกินมูลค่า ผมก็มักเลือกที่จะขายมันทิ้ง และกลับมาสรรหาหุ้นกลางห้องตัวอื่นๆ เพื่อลงทุนต่อไป เหมือนตัวผมเอง ที่เมื่อใดก็ตามถูกสถานการณ์ผลักให้ไปยืนอยู่หน้าห้อง ก็จะหาโอกาสหลบออกจากแสงไฟ แล้วกลับมาอยู่เงียบๆ กับตำรับตำรา เป็นเช่นนี้มาตลอดชีวิต

ตัวเราเป็นอย่างไร ก็ให้เลือกหุ้นอย่างนั้น นี่คือปรัชญาในการลงทุนของผมครับ