“XaaS” นิวนอร์มอลที่มาแรงในโลกดิจิทัล

“XaaS” นิวนอร์มอลที่มาแรงในโลกดิจิทัล

การแพร่ระบาด COVID-19 ทำให้หลายคนพบโอกาสใหม่ทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นนักบิน แอร์โฮสเตสหรือใครก็ตาม ก็สามารถขายสินค้าผ่าน Social Network ได้

 

 

ภาพการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐ… ที่ชัดขึ้น

บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ

facebook.com/MacroView

 

 

สัปดาห์นี้ ถือว่าเราเริ่มจะเห็นภาพการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐที่ชัดเจนขึ้น โดยในภาพรวม ผมยังมองว่า ถึงวันเลือกตั้ง โจ ไบเดนก็ยังน่าจะมีคะแนนเสียงเหนือกว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ทว่าคงจะนำทรัมป์อยู่ไม่เกินร้อยละ 3-4 อย่างไรก็ดี ทรัมป์น่าจะออกลูกลีลาเหมือนการเมืองในแถบโลกตะวันออก ส่งผลให้ไบเดนเอาเข้าจริง ในวันเลือกตั้งจริง ก็อาจจะไม่ชนะการเลือกตั้งได้ง่ายๆเช่นกัน ดังที่ผมจะอธิบาย ดังนี้

 

ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น ต้องเข้าใจเสียก่อนว่าเพราะเหตุใดทรัมป์ถึงออกอาการแขยง ถึงขนาดย้ำหลายรอบว่าการเลือกตั้งโดยใช้ไปรษณีย์จะเกิดการโกงกันแบบมโหฬาร ซึ่งผมมองว่าการที่ทรัมป์ออกมาโวยวายในรอบนี้ เหมือนกับเป็นการโยนหินถามทางเพื่อทดสอบปฏิกิริยาของนักการเมืองพรรครีพลับิกันว่าจะมีปฏิกิริยารุนแรงมากน้อยแค่ไหน ต่อการโวยวายของเขาในครั้งนี้

 

 

ทั้งนี้ หากมาสำรวจมลรัฐที่มีแนวโน้มว่าจะใช้ไปรษณีย์ในการออกเสียงเลือกตั้งก็น่าจะได้แก่รัฐที่โควิดยังแรงอยู่ อันประกอบด้วย ฟลอริดา เท็กซัส และแคลิฟอร์เรียซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นรัฐที่ทรัมป์พลาดไม่ได้ทั้งสิ้นหากคิดจะชนะไบเดนแถมคะแนนของทั้งคู่ในตอนนี้ยังสูสีอีกด้วย

 

หรืออาจจะตั้งคำถามอีกมุมหนึ่ง ว่า ณ ตอนนี้ทำไมทรัมป์ถึงเสียเปรียบไบเดนอย่างมากหากต้องโหวตกันทางไปรษณีย์?

 

คำตอบคือน่าจะเนื่องมาจาก3 เหตุผล ดังนี้

 

 

หนึ่ง ฐานเสียงทรัมป์มีรายได้ต่ำกว่าของไบเดนซึ่งหลายรัฐบังคับให้ผู้ลงคะแนนเสียงต้องจ่ายค่าแสตมป์และซองเอง ตรงนี้เอง  น่าจะส่งผลให้สัดส่วนของฐานเสียงของทรัมป์ที่จะไปลงคะแนนเสียงลดลงมากกว่าของไบเดน

 

สอง ผู้หญิงซึ่งตามโพลเลือกทรัมป์น้อยมาก โดยน้อยกว่าไบเดนหลายเท่ามีโอกาสจะใช้จดหมายในการลงคะแนนเสียงมากกว่าผู้ชาย เพราะโดยธรรมชาติ ผู้ชายมักจะไม่ชอบทำอะไรที่ขั้นตอนเยอะ ซึ่งตรงนี้ ผู้หญิงน่าจะลงคะแนนเสียงกระหึ่มแน่หากใช้ไปรษณีย์ในการเลือกตั้ง

 

ท้ายสุด ว่ากันว่าทรัมป์สามารถบังคับหรือใช้อำนาจจากภายนอกบังคับให้บริษัท Big Techโดยเฉพาะ Social Mediaทำในเรื่องต่างๆนอกจากนี้บรรดา Social Media น่าจะมีแนวโน้มเขียน Algorithm เชียร์ไปทางทรัมป์เนื่องจากถ้าไบเดนขึ้นมาเป็นผู้นำมีโอกาสที่บรรดา Big Tech เหล่านี้จะโดนภาษีหนักขึ้น อีกทั้งกฎหมาย Antitrust น่าจะส่งผลกระทบอย่างหนักเพื่อให้บริษัทเหล่านี้ลดขนาดลง

 

อย่างไรก็ดี ความได้เปรียบนี้ของทรัมป์จะหมดไป หากมีการทำการโหวตทางไปรษณีย์นั่นหมายความว่าประชาชนในส่วน Offline จะออกมาโหวตทางไปรษณีย์มากขึ้นซึ่งประชาชนเหล่านี้มักจะ Online ค่อนข้างน้อย ส่งผลต่อคะแนนเสียงของทรัมป์ที่จะลดลง

 

มีสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นเรื่องย้อนแย้งคือทรัมป์บอกว่าไม่ต้องการโหวตผ่านเมล์ทั้งหมดแต่ถ้าเป็นแบบ Absentee Voting หรือโหวตแบบที่ประชาชนมีธุระมาที่คูหาไม่ได้ เขาก็จะเห็นด้วย ซึ่งแสดงว่าทรัมป์ไม่ได้มีความชัดเจนในเรื่องนี้เสียทีเดียว

 

อย่างไรก็ดี ทรัมป์ไม่มีอำนาจที่จะเลื่อนเลือกตั้งได้ตามรัฐธรรมนูญในตอนนี้คำถามคือทรัมป์ทำอะไรไม่ได้เลยสำหรับการป้องกันไม่ให้เกิดการโหวตทางไปรษณีย์ ใช่หรือไม่?

 

คำตอบคือทรัมป์สามารถออกลูกลีลาได้โดยอาจเรียกร้องให้มีการบล็อกไม่ให้ฐานเสียงออกไปเลือกทั้งยังสามารถออกกฎหมายให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องมีความยากลำบากในการเลือกตั้งแบบทางไปรษณีย์ อาทิ หาเหตุเพื่อปิดที่ทำการไปรษณีย์รวมถึงห้ามไม่ให้มี automatic voter registration หรือการที่ไม่ให้ชาวอเมริกันทุกคนสามารถโหวตได้แบบอัตโนมัติ โดยต้องมีการสกรีนกันก่อนในเบื้องต้น เพื่อไม่ให้ minority หรือคนผิวสีสามารถเลือกตั้งได้แบบสะดวก

 

 

ทั้งนี้ ผมมองว่าในขณะนี้แม้ว่าทางไบเดนจะมีคะแนนนำทรัมป์อยู่ค่อนข้างมาก ทว่าเมื่อใกล้ถึงวันเลือกตั้งเข้ามา นักการเมืองส่วนใหญ่ของพรรครีพลับบิกันก็จะมีความรู้สึกเลือดข้นกว่าน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ โดยแม้จะไม่ชอบทรัมป์มากขนาดไหน ก็ต้องกลับไปหาฐานเสียงที่บ้านตัวเองเพื่อไปบอกกับชาวบ้านว่ายังไงก็ต้องเลือกทรัมป์ โดยมีโอกาสสูงที่ทรัมป์จะมีคะแนนตีตื้นไบเดนเข้ามากว่าตอนนี้ค่อนข้างมาก

 

ซึ่งก็มาถึงสิ่งที่ทรัมป์ได้พูดไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คือหากการนับคะแนนผลการเลือกตั้งเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในครั้งนี้ (ส่วนหนึ่งมาจากการเลือกตั้งทางไปรษณีย์) ไม่เสร็จสิ้นภายในคืนวันที่ 3 พฤศจิกายน ก็จะถือว่ามีความไม่ชอบมาพากลในการนับคะแนนเสียง ซึ่งแน่นอนว่าด้วยคะแนนของทั้งคู่ที่ไม่น่าห่างกันขนาดที่นำแบบม้วนเดียวจบ แบบที่จะสามารถนับเสร็จภายในวันเดียว โอกาสที่ทรัมป์จะกล่าวหาว่ามีความโปร่งใสในการเลือกตั้งมีสูงมาก

 

โดยทรัมป์จะรวบรวมหลักฐานความไม่สมบูรณ์ของการเลือกตั้งในครั้งนี้ ซึ่งแน่นอนว่าส่วนหนึ่งมาจากการออกกฎเกณฑ์โดยตัวเขาเอง

 

จากนั้นแล้วทำการร้องเรียนผ่านศาลว่าการเลือกตั้งไม่ชอบธรรมซึ่งครั้งหนึ่งปี 2000บุชเคยร้องเรียนผลการเลือกตั้งต่อศาลที่แข่งกับอัลกอร์ ให้นับคะแนนเสียงกันใหม่

 

ในมุมของศาลยุติธรรมถ้าเกิดการร้องเรียนจริงๆผมมองว่าทรัมป์ถือว่าน่าจะได้เปรียบเนื่องจากผู้พิพากษาระดับบนๆในช่วง 4 ปีที่อานิสงส์นี้เกิดขึ้นเพราะเทคโนโลยีดิจิทัลที่โครงข่ายอินเทอร์เน็ตที่เป็นแกนหลักของ Digital Economy ช่วยให้ภาคส่วนต่างๆ ตั้งแต่บุคคลธรรมดาไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่สามารถเข้าถึงข้อมูล และผู้ซื้อผู้ขายสามารถติดต่อสื่อสารระหว่างกันได้ตลอดเวลา

ผู้เขียนจึงทำการศึกษาประเด็นดังกล่าวภายใต้โครงการ เทคโนโลยีพลิกผันในอุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร ผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและบทบาทของธนาคารกลางในทศวรรษหน้า ภายใต้แผนงานบูรณาการยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม แผนงานคนไทย 4.0 สนับสนุนโดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) พบประเด็นที่น่าสนใจหลายประการของระบบเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า Digital Economy

Digital Economy ทำให้ผู้ประกอบการสามารถโฆษณาสินค้าของตนเป็นวงกว้างในต้นทุนที่ถูกลง สามารถติดต่อสื่อสารกับลูกค้าได้โดยตรงผ่าน Platform ต่างๆ เช่น Social network platform ที่ในปัจจุบันมีการจัดตั้งกลุ่มจำเพาะสำหรับการค้าขายกันเองมากมาย หรือ E-commerce platform ที่เฟื่องฟูขึ้นทุกวัน โดย Application ส่วนใหญ่จะเปิดโอกาสให้ประชาชนเปิดร้านค้าย่อมๆ ของตนเองใน Platform ดังกล่าว ซึ่ง Application ที่คนไทยมักรู้จักได้แก่ Lazada และ Shoppee

ถึงแม้การค้าขายผ่าน e-commerce จะมีบทบาทสำคัญและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการรายเล็ก แต่ไม่ได้หมายความว่าภาคธุรกิจควรให้ความสำคัญกับช่องทางขายออนไลน์ (Online) เพียงอย่างเดียว จากงานวิจัยพบว่าการค้าขายที่จะประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัล 4.0 จะต้องเป็นลักษณะ Omnichannel ที่มีการเชื่อมโยงการค้าทั้งออฟไลน์ (Offline) และออนไลน์ให้เป็นเนื้อเดียวกัน เช่นห้างสรรพสินค้าสามารถสร้างโมบายแอพพลิเคชั่น (Mobile application) ที่มีฟังก์ชันทั้งการแสดงแผนที่ร้านค้า การสะสมแต้ม หรือการซื้อสินค้าในห้างผ่านโทรศัพท์มือถือได้เลย

ผู้บริโภคสามารถมีประสบการณ์การซื้อสินค้าใหม่ เช่น ลูกค้าลองเสื้อผ้าจากหลายร้านแต่ยังตัดสินใจไม่ได้ ในระหว่างพักรับประทานอาหารสามารถตัดสินใจได้แล้ว จึงสั่งซื้อสินค้าผ่านโมบายแอพพลิเคชั่น และแจ้งให้นำสินค้าไปส่งที่บ้านเลย โดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาเดินย้อนกลับไปซื้ออีกครั้งหนึ่ง หรือการที่เจ้าของห้างสรรพสินค้าอาจมีฟังก์ชัน “สะสมไมล์การเดิน” หากลูกค้ามาเดินในห้างสรรพสินค้าเพื่อเก็บเป็นแต้มสำหรับลดราคาสินค้าต่างๆ เป็นการสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้ามาเดินชอปปิงยังห้างสรรพสินค้าเช่นเดิม

นอกจากนี้ ผู้ประกอบธุรกิจยังสามารถลดต้นทุนการผลิต ไม่ต้องใช้เงินลงทุนไปกับเครื่องจักรหรือโรงงานเพื่อการผลิต เพราะสามารถเลือกใช้วิธีการเช่าอุปกรณ์ต่างๆ ผ่านรูปแบบธุรกิจแนวใหม่ที่เรียกว่า Everything as a service model (XaaS) ได้

ในปัจจุบันคนทั่วไปมักจะรู้จักแนวคิดแบบนี้จากการให้บริการของ AirBnb ที่ให้เช่าที่พัก หรือ Grab ที่สามารถนำรถยนต์ส่วนตัวมาให้บริการเป็นแท็กซี่เป็นครั้งคราว แต่คำว่า Everything as a service มีความหมายที่กว้างกว่านี้มาก โดยอาจเป็นการสร้าง “แพลตฟอร์ม” หรือ “ซอฟต์แวร์” เพื่อให้ผู้ใช้งานได้เข้าถึงระบบในการจัดการหนึ่งเช่น Microsoft Office 365 หรือหมายถึง “Infrastructure” ที่ผู้ประกอบการสามารถเช่าใช้โครงสร้างพื้นฐานเช่นเช่าใช้ระบบ Payment network หรือ Banking network จากธนาคารเป็นครั้งคราว

นอกจากนี้ยังอาจเป็น “Device” ที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ที่ต้องการในบางช่วงเวลาได้เช่น Air-conditioning as a service ที่ผู้บริโภคไม่จำเป็นจะต้องเป็นเจ้าของแอร์ แต่สามารถเช่าใช้แอร์ตามระยะเวลาที่ใช้ที่บ้านได้ หรืออาจเป็น “Security” ที่ผู้ซื้ออาจเสียค่าการใช้อุปกรณ์กล้องวงจรปิดเฉพาะช่วงเวลาที่ตนเองไม่อยู่บ้าน โดยผู้ซื้อไม่ต้องเสียค่าติดตั้งหรือค่าอุปกรณ์เพื่อเป็นเจ้าของอุปกรณ์ดังกล่าว เป็นต้น

รูปแบบธุรกิจที่เรียกว่า XaaS จึงเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ประกอบการรายเล็กเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย XaaS เป็นรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่มีผู้คิดค้นและผู้สร้างบริการ นำบริการนั้นมาให้บริการกับผู้ใช้งานผ่านการคิดค่าบริการตามการใช้งานผ่านเทคโนโลยี Cloud Computing และ Internet of Thing (IoT) ที่ทำหน้าที่เป็นเซ็นเซอร์ตรวจสอบการใช้อุปกรณ์บางประเภทแบบ Real-time

การเกิดขึ้นของ XaaS นี้ ยังเป็นปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้สถาบันการเงินในปัจจุบันต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจจากเดิมที่เป็นองค์กรรับฝากและปล่อยกู้ จนกลายเป็นองค์กรที่เรียกว่า Solution providers ผ่านการเชื่อมโยงลูกค้าของธนาคารกับผู้ให้บริการ Third parties ในด้านอื่นๆ เช่นธนาคารกสิกรไทย มีแพลตฟอร์มที่ชื่อว่า Madhub ที่ SMEs ซึ่งเป็นลูกค้าเงินกู้ของธนาคารสามารถเข้าถึงบริการด้านอื่นที่ตนเองไม่ถนัดจากผู้ประกอบการอื่นที่ได้รับการรับรองโดยธนาคารได้

จะสังเกตเห็นว่าภายใต้ระบบเศรษฐกิจดิจิทัลนี้ ทำให้ความพยายามในการเติบโตผ่านการทำธุรกิจแต่เพียงผู้เดียวที่พยายามกินรวบตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ อาจไม่ใช่แนวทางที่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน แต่สถาบันการเงินและภาคส่วนต่างๆ จะต้องหาแนวทางในการสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือทางการค้าที่สร้างสรรค์ เพื่อเชื่อมโยงจุดเด่นของบริการของแต่ละองค์กรจนสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในที่สุด

ท่านสามารถดาวน์โหลดรายงานได้ฟรีจาก www.khonthai4-0.net

ผ่านมาเขาเป็นคนเซ็นแต่งตั้งเองแทบทั้งสิ้นครับ

โดย...

รุ่งเกียรติ รัตนบานชื่น

คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ