นโยบายเศรษฐกิจของ ‘โจ ไบเดน’

นโยบายเศรษฐกิจของ ‘โจ ไบเดน’

ณ นาทีนี้ โจ ไบเดน ตัวแทนของพรรคเดโมแครตในการชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐที่กำลังจะมาถึง

ถือว่ามีคะแนนนำประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ห่างที่สุดเท่าที่เคยทำโพลมา โดยบางโพลให้เขานำทรัมป์ห่างถึง 14% ถือเป็นการนำที่ห่างมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การชิงชัยตำแหน่งผู้นำสหรัฐ หลายคนมองว่าไบเดนเอง มาถึงตรงนี้ส่วนใหญ่ยังใช้สไตล์หรือกลยุทธ์การหาเสียงที่พยายามให้มีข้อผิดพลาดของตนเองให้น้อยที่สุด โดยปล่อยให้ทรัมป์สะดุดขาตัวเองในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโควิดหรือนโยบายที่เกี่ยวกับคนต่างชาติ

จุดโฟกัสในช่วงต่อไประหว่างทั้งคู่คือการขายนโยบายด้านต่างๆต่อชาวอเมริกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการดีเบตที่จะถ่ายทอดสดให้ชาวอเมริกันทั่วประเทศได้รับชมกัน ซึ่งไบเดนตอบโต้นโยบาย America First ของทรัมป์ด้วยสโลแกน Buy American ของไบเดน ที่เน้นให้ซื้อสินค้าทุกหมวดจากบริษัทของอเมริกาเป็นหลัก บทความนี้ จะขอโฟกัสไปที่นโยบายเศรษฐกิจ 2 ประเด็นหลักของไบเดน ได้แก่ นโยบายการคลังหรือภาษีและนโยบายพลังงาน ดังนี้

159488208769

เริ่มจากนโยบายด้านภาษีของไบเดนซึ่งเน้นการเก็บภาษีคนรวยเพื่อนำมาสร้างงานให้กับชนชั้นกลางและล่างผ่านโครงการในส่วนภาคอุตสาหกรรม ไอที พลังงานสะอาด และเศรษฐกิจใหม่ ภายใต้แนวทางของไบเดนที่จะสามารถเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาลสหรัฐมากกว่า 3.4 ล้านล้านดอลลาร์ภายในช่วงเวลา 4 ปีต่อจากนี้ตามรายละเอียดดังนี้

1.การคิดภาษีมรดกภายใต้กฎหมายในปัจจุบันเมื่อผู้ได้รับมรดกได้รับการโอนเงินเข้ามาจะไม่ต้องเสียภาษีในส่วนของกำไร (Capital Gains) เมื่อมีการตีค่าราคาประเมินในช่วงที่ได้รับมรดกที่เพิ่มขึ้นจากตอนที่ได้รับมรดกเข้ามาในพินัยกรรมหรือที่เรียกว่า Stepped-up basis สำหรับร่างกฎหมายของไบเดนจะคิดภาษีจากมรดกทั้งก้อน

2.ร่างกฎหมายของไบเดนขึ้นอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ Bracket สูงสุดจาก 37% ในปัจจุบันขึ้นเป็น 39.6% ซึ่งเป็นอัตราก่อนที่ทรัมป์จะใช้ 2017 Tax Cuts and Jobs Act.

3.เก็บภาษีกำไรจากการขายหุ้น (capital gains) และเงินปันผลด้วยอัตราปกติโดยตามกฎหมายปัจจุบันทั้ง capital gains และเงินปันผลจะถูกเก็บภาษีด้วยอัตราพิเศษที่อัตราสูงสุดที่ 23.8% (ซึ่งรวมถึง Net Investment Income Tax หรือ “NIIT”) โดยจะยกเลิกอัตราภาษีพิเศษดังกล่าวในกรณีที่รายได้ก่อนหักภาษีที่มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ขึ้นไปซึ่งจะเก็บภาษีที่ด้วยอัตราพิเศษที่อัตราสูงสุด 39.6%

4.จำกัดหมวดค่าลดหย่อนภายใต้กฎหมายในปัจจุบันมีค่าลดหย่อนที่สามารถ Waive ได้ตัวอย่างเช่น 1 หมื่นดอลลาร์แรกไม่ต้องนำมาคิดเป็นฐานภาษีอย่างไรก็ดีภายใต้ร่างกฎหมายของไบเดนกำหนดให้การลดหย่อนไม่สามาถทำให้หนี้สินทางภาษีลดลงมากกว่าหรือเกิน 28% ได้แม้ว่าผู้เสียภาษีจะอยู่ที่ฐานอัตราภาษีที่สูงก็ตาม

5.ขึ้นอัตราร้อยละภาษีนิติบุคคลร่างกฎหมายของไบเดนเพิ่มอัตราภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็นอัตรา 28%

6.กำหนดอัตราภาษีขั้นต่ำสำหรับบริษัทที่มีรายได้ทางบัญชีมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์โดยต้องจ่ายภาษีไม่ต่ำกว่า 15% ของรายได้ทางบัญชี ตรงนี้ บริษัทแนวเทคโนโลยีขนาดใหญ่หลายแห่งจะได้รับผลกระทบ

7.ยกเลิกภาษี Fossil Fuelโดยไบเดนจะยกเลิกการสนับสนุนด้านภาษีต่อธุรกิจ oil & gas รวมถึงการผลิตถ่านหินและการให้เรียกเก็บเป็นค่าใช้จ่ายต่อกิจกรรมการสำรวจแหล่งพลังงาน

8.ยกเลิกช่องโหว่กฎหมายอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถเลี่ยงการจ่าย capital gains tax ของอสังหาริมทรัพย์โดยไม่สามารถแลกเปลี่ยนที่ดินหรือสินทรัพย์ที่มีกำไรกับสินทรัพย์ที่ใกล้เคียงกันหรือที่เรียกกันว่า like kind

ท้ายสุด การจะขจัดไม่ให้มีการใช้เทคนิคในการเลี่ยงการจ่ายภาษีหรือ tax havens โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่

ทั้งนี้งบราว3.4 ล้านล้านดอลลาร์ดังกล่าวข้างต้นนายไบเดนจะนำไปใช้สำหรับการดำเนินนโยบายด้านพลังงานราว2 ล้านล้านดอลลาร์ในหัวข้อต่อไป

ประเด็นที่สอง นโยบายด้านพลังงาน โดยเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานายไบเดนได้เปิดเผยรายละเอียดนโยบายด้านพลังงาน ที่เน้นพลังงานสะอาดด้วยงบ 2 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงระยะเวลา 10 ปีต่อจากนี้ ทว่าไบเดนในรอบนี้จะมีกลยุทธ์ในการขายไอเดียดังกล่าวในลักษณะที่แหยบคายกว่าสมัยอดีตผู้นำสหรัฐบารัก โอบามา และฮิลลารี คลินตัน ดังนี้

โดยนายไบเดน เสนอให้มีการให้อัพเกรดอาคารที่เป็นตึกสูง 4 ล้านแห่งและบ้านที่อยู่อาศัย 2 ล้านหลังให้เป็นระบบพลังงานสะอาดในอีก 4 ปีข้างหน้า ผ่านการใช้วิธี rebate ที่รัฐจะช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน ทั้งนี้โครงการดังกล่าวจะเท่ากับเป็นการสร้างงานใหม่อีก 1 ล้านตำแหน่ง ทั้งยังมีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตของพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์ 500 ล้านหน่วยและกังหันลมแบบ wind turbine อีก 6 หมื่นหน่วย รวมถึงมีการสร้างสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ 5 แสนแห่งทั่วสหรัฐ ทั้งนี้ ไบเดนหวังว่าสหรัฐจะสามารถใช้พลังงานสะอาดแบบเต็มร้อยภายในปี 2035

อย่างไรก็ดี เทคนิคที่จะใช้ในการนำเสนอเพื่อใช้ในการโต้วาทีกับทรัมป์สำหรับประเด็นนี้จะเปลี่ยนไปจากในอดีต โดยไบเดนจะเน้นการนำเสนอในรูปแบบของแพ็คเกจการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สามารถสร้างงานใหม่ได้ แทนที่จะมองในรูปแบบของสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ ไบเดนยังวางแผนที่ผ่านกฎหมายด้านพลังงานสะอาดบางฉบับด้วยคำสั่งของประธานาธิบดีหรือ Executive Action แทนที่จะต้องผ่านการโหวตทั้ง 2 สภา ซึ่งแผนของโอบามาในอดีตไม่สามารถออกมาเป็นกฎหมายที่เน้นการซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้ เนื่องจากค้างติดอยู่ที่วุฒิสภาซึ่งพรรครีพับลิกันมีเสียงข้างมาก

น่าสังเกตว่าภายใต้ช่วงบรรยากาศโควิดการขายแนวคิด Climate Change ของไบเดนน่าจะสามารถทำได้ง่ายกว่ายุคก่อนโควิดโดยผลการทำโพลล่าสุดประชาชนชาวอเมริกันเกือบ 2 ใน 3 อยากให้รัฐบาลออกนโยบายที่เน้นการใช้พลังงานสะอาด นอกจากนี้ ยังมีนโยบายด้านการเมือง การวิจัย การสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม และการสาธารณสุขของไบเดน ที่ผมจะขอกล่าวถึงในโอกาสต่อไปครับ