ความพร้อมการปลดล็อคดาวน์ของไทย และกลยุทธ์การลงทุน

ความพร้อมการปลดล็อคดาวน์ของไทย และกลยุทธ์การลงทุน

สถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวร้สโควิด-19 ในปัจจุบัน เริ่มไปในทางที่ดีมากขึ้น หลังจากมีการพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ลดลง

จึงเกิดการคาดการณ์ของตลาดว่าจะมีการปลดล็อคดาวน์ประเทศ เพื่อให้เศรษฐกิจได้ขับเคลื่อนกันต่อ

 โดยข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขเตรียมออกมาตรการคุ้มครองด้านความปลอดภัยเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก่อนเสนอปลดล็อคกิจกรรมบางส่วนโดยเฉพาะที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยอาจจะทดลองนำร่องตั้งแต่ปลายเดือน เม.ย.ใน 3-4 จังหวัดที่ไม่พบผู้ติดเชื้อ ซึ่งขณะนี้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และสถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กำลังร่วมกันวางแผนที่จะหาแนวทางในการเปลี่ยนผ่านหลังสถานการณ์คลี่คลาย

 โดยเริ่มจากกลุ่มแรก 32 จังหวัดที่ไม่มีการแพร่เชื้อในรอบ 2 สัปดาห์ โดยจะดำเนินการเป็นการนำร่อง 3-4 จังหวัดในช่วงปลายเดือน เม.ย.หลังจากนั้น 2 สัปดาห์จะดำเนินการกับกลุ่มต่อมาอีก 38 จังหวัดที่มีการติดเชื้อประปรายในช่วงกลางเดือน พ.ค.และที่เหลืออีกจะผ่อนปรนมาตรการในช่วงต้นเดือน มิ.ย.

 สำหรับแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจเราประเมินว่าจะมีการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป หากจะประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการที่ประเทศถูกล็อคดาวน์แบบคร่าวๆ ก็ประมาณได้ว่า กลุ่มท่องเที่ยวมีความเสียหาย 100% กลุ่มขนส่งไม่รวมการขนส่งสินค้าเสียหายไปราว 90% กลุ่มค้าปลีกคาดเสียหายราว 70% กลุ่มบันเทิงและสันทนาการได้รับผลกระทบราว 90% การผลิตภาคอุตสาหกรรมเสียหายประมาณ 25% และภาคการเกษตร ที่อาจมีผลกระทบไม่รุนแรงเท่ากลุ่มอื่นที่ 20% หากนำความเสียหายดังกล่าวมาคูณเข้ากับสันส่วนของแต่ละกลุ่มต่อ GDP จะได้ผลกระทบที่เกิดขึ้นราว 40% ของ GDP ซึ่งเมื่อหากพิจารณามูลค่า GDP ของไทยในปี 2562 จะอยู่ที่ 16.8 ล้านล้านบาท เฉลี่ยเดือนละ 1.4 ล้านล้านบาท จะพบว่าตลอดเดือนเมษายนจะมีความเสียหายจากการล็อคดาวน์ประเทศสูงถึง 5.6 แสนล้านบาท และคาดการณ์ GDP ทั้งปีจะหดตัวมากกว่า 3% ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง

  ทั้งนี้ในด้านกลยุทธ์การลงทุนเราพบว่า ดัชนี SET มีการปรับตัวขึ้นมา ตอบรับกับข่าวนี้มาพอสมควรแม้ว่าจะยังไม่มีประกาศจากทางการว่าจะมีการปลดล็อคดาวน์จริงๆ โดยปัจจุบันเทรดอยู่บน PER ที่ 14.8 เท่า ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประมาณการของทางฝ่ายวิเคราะห์ที่ได้จัดทำประมาณการดัชนีตลาดสิ้นปี 2563 ที่ 1,268 จุด ดังนั้นสำหรับเดือนพฤษภาคม อาจเห็นการปรับตัวในลักษณะการพักฐาน โดยให้แนวรับ 1,230 / 1,200 แนวต้าน 1,268 / 1,280

   สำหรับ Theme การลงทุน ที่เห็นเด่นชัดเลยจะเป็นกลุ่มค้าปลีกที่ได้อานิสงส์จากการเปิดเมือง เราชอบ CRC HMPRO และ BJC เป็น Top pick ของกลุ่ม ขณะที่กลุ่มแนวโน้มภาคเศรษฐกิจกลับมาเติบโต เราชอบ PTTGC และ TOP ด้านกลุ่มสื่อสารและทีวีดิจิทัลที่ได้รับประโยชน์จาก Work from Home เราชอบ TRUE ADVANC WORK และ RS ส่วนกลุ่มที่แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและแนวโน้มที่คุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอ เราชอบ BAM CHAYO และ JMT อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ตลาดปรับฐานการทำ DCA ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เราแนะนำหุ้น BDMS CPALL ADVANC BAM และ GULF ที่เหมาะแก่การทำ DCA