จับตาหลังจบโควิค-19 สินค้ากลุ่มไหนโต-กลุ่มไหนตาย
ในวิกฤติยังมีโอกาส เพียงแค่คุณต้องมองหาให้เห็น และลงมือทำทันที
มองตัวเลขธุรกิจอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยเมื่อปี 2561 อยู่ที่ประมาณ 3 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก เติบโตราว 10-20% เกือบทุกปีติดต่อกัน ซึ่งธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มเช่นกัน กลุ่มที่ 1 คือ บีทูบี ธุรกิจขนาดใหญ่มีการใช้อีคอมเมิร์ซซื้อขายระหว่างกัน กลุ่มที่ 2 คือ บีทูซี หรือกลุ่มค้าปลีกต่างๆ และกลุ่มที่ 3 คือ ซีทูซี ผู้บริโภคซื้อขายระหว่างกัน
อย่างที่บอกไปแล้วว่า อีคอมเมิร์ซเมืองไทยจะโตอยู่ประมาณ 10-20% แต่ในปีนี้ เรียกว่าอีคอมเมิร์ซจะโตมากในเกือบทุกกลุ่มเลยทีเดียว สาเหตุก็เพราะตั้งแต่ต้นปีที่เกิดการระบาดของโควิด-19 มันเหมือนเป็นการขืนใจหรือบังคับให้ทุกคนเข้ามาอยู่ในออนไลน์มากขึ้น ๆ ฉะนั้นโดยส่วนตัวของผมคาดการณ์ว่าอีคอมเมิร์ซในไทยจะโตอย่างต่ำประมาณ 30% ขึ้นไปอย่างแน่นอน
แต่ถึงอย่างนั้นอีคอมเมิร์ซก็จะไม่ได้โตทุกกลุ่มครับ มีบางกลุ่มที่จะไม่โตและอาจถดถอยมากขึ้นด้วย ซึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ พวกกลุ่มท่องเที่ยว สายการบิน โรงแรม แต่ผมมองว่าเมื่อโควิด-19 หายไปหรือสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลาย กลุ่มท่องเที่ยวน่าจะมีการกลับมาเร็ว และแรงทีเดียว เมื่อทุกคนเลิกกังวลเกี่ยวกับโควิด-19 คนก็จะกลับมาเที่ยวมากขึ้น ช่วงนั้นเองจะเป็นช่วงที่ธุรกิจท่องเที่ยว และภาคบริการทุกอย่างน่าจะกลับมาบูมอีกครั้ง
เมื่อเกิดวิกฤติโควิด-19 สิ่งแรกที่จะเปลี่ยนไปคือพฤติกรรมของคน และจะเปลี่ยนไปแบบถาวร เพราะกลุ่มคนจะถูกพัฒนาและเรียนรู้สิ่งใหม่ เช่น social distancing การอยู่ห่าง ๆ กัน คุ้นเคยกับการสื่อสารด้วยเทคโนโลยีมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเดินทางหรือไปประชุมแบบเจอหน้ากัน แต่คนจะระมัดระวังตัวมากขึ้น ไม่อยากอยู่ในที่ที่คนเยอะ ๆ เดินห้างน้อยลง พฤติกรรมของคนจะเปลี่ยนไปอย่างมาก และจะเกิด New Normal ให้กับทุกๆประเทศ ไม่พ้นแม้แต่ประเทศไทยด้วย
ต้องยอมรับว่าปีนี้อีคอมเมิร์ซเกือบทุกประเภทจะโตขึ้นอย่างแน่นอน กลุ่มสินค้าที่ยังจะโตอยู่หรือจะมามาก กลุ่มแรกเลยคือ กลุ่มอาหาร จะเป็นกลุ่มที่จะโตที่สุด แต่ที่ผ่านมาเมื่อพูดถึงกลุ่มอาหารเราอาจจะถูกจำกัดว่าต้องเป็นอาหารพวกที่เป็น ฟู้ด เดลิเวอรี หรือเป็นแบบพวกอาหารปรุงสดเท่านั้น แต่ยังมีอีกตลาดหนึ่งที่กำลังน่าสนใจมาก ๆ ก็คือ กลุ่มอาหารแห้ง อาหารสด กลุ่มที่เป็นพวกวัตถุดิบต่าง ๆ ที่กำลังจะโตขึ้นมาให้เห็นเช่นกัน
ทำไมกลุ่มอาหารยังคงเป็นกลุ่มที่มีความน่าสนใจมาก นั่นก็เพราะ หนึ่งคือสินค้าในกลุ่มอาหารสามารถซื้อซ้ำได้บ่อยทุกวัน เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มแฟชั่นหรือเครื่องสำอางอย่าง เช่น เสื้อผ้า ลิปสติกส์ ผู้หญิงอาจไม่ได้ซื้อเครื่องสำอางทุกวัน แต่สำหรับอาหารเราต้องซื้อซ้ำทุกวัน ฉะนั้น กลุ่มอาหารจึงเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตมาก
ต่อมากลุ่มที่สองจะเป็นกลุ่มที่มีการโตเพิ่มมากขึ้นคือ กลุ่ม เฮลธ์แคร์ บอกได้เลยครับว่าจะเป็นกลุ่มสินค้าที่จำนวนคนเข้าถึงมากขึ้น เพราะแม้จะจบจากเหตุการณ์โควิด-19 นี้ไปแล้ว คนก็จะยังมีความกังวลอยู่
ฉะนั้น สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการการดูแลตัวเองหรือการดูแลรักษาสุขภาพต่าง ๆ คนจะให้ความสนใจเพิ่มขึ้น และจะมาการเข้ามาค้นหาในออนไลน์มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แต่สินค้าในกลุ่มแฟชั่นหรือเครื่องสำอาง จะเป็นสินค้าที่โตตามมา รวมไปถึงสินค้ากลุ่ม แกดเจ็ทก็จะตามมาด้วยเหมือนกัน จากเดิมที่สินค้ากลุ่มแฟชั่นหรือเครื่องสำอาง จะโตเป็นอันดับต้น ๆ แต่ต่อจากนี้ไปจะมีการโตที่ต่ำลงมา จะถูกสินค้าในกลุ่มอาหารและเฮลธ์แคร์แซงหน้าขึ้นมามากเลยทีเดียว
สำหรับคำแนะนำสำหรับคนที่ทำธุรกิจอยู่ในกลุ่มแฟชั่นอยู่แล้ว อาจจะใช้วิธีการนำเอาสินค้าแฟชั่น ที่ทำอยู่เข้ามาบวกกับเฮลธ์ก็ทำได้ด้วยเหมือนกัน จากเดิมที่เป็นสินค้าแฟชั่น มุ่งทำเพื่อความสวยความงามเพียงอย่างเดียว เราสามารถเอาความเป็นแฟชั่นมาบวกกับเรื่องของสุขภาพ เช่น การออกแบบทำหน้ากากเพื่อสุขภาพที่มีคุณสมบัติบางอย่างทำให้สุขภาพเราดีขึ้น ทำผ้าพันคอมีคอลลาเจนแต่สามารถใช้กันฝุ่น pm 2.5 ได้ด้วย ฯลฯ มันก็จะทำให้คนมีเหตุผลในการซื้อมากขึ้นด้วยเหมือนกัน
เมื่อพฤติกรรมเปลี่ยน ธุรกิจก็เปลี่ยน ความเชื่อบางอย่างในการทำธุรกิจก็เปลี่ยนไปแล้วครับ อย่างการมีสาขามากก็อาจกลายเป็นภาระมากเช่นกัน คนเริ่มชินกับการใช้ออนไลน์มากขึ้นทั้งการใช้ชีวิตและการทำงาน ช่องทางการขายก็เปลี่ยนไปเพราะทุกคนเฮกันเข้ามาอยู่ในออนไลน์ และ เช่นเดียวกันเครื่องมือทางออนไลน์ใหม่ ๆ เริ่มมีมากขึ้น ในวิกฤติยังมีโอกาสครับ เพียงแค่คุณต้องมองหาให้เห็น และลงมือทำเลยทันทีครับ