โควิด-19 กำลังสร้างจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ให้กับสังคมโลก
มาตรการรับมือโรคโควิด-19 ของประเทศไทยเริ่มเข้มข้นและจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับในหลายประเทศที่มีการปิดสถานที่สาธารณะ ห้างสรรพสินค้า ธุรกิจบางประเภท ไปจนถึงการประกาศเคอร์ฟิวที่บ้านเราเพิ่งนำมาใช้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
แต่ละประเทศมีวิธีการที่หลากหลายแตกต่างกันไปตามแต่สถานการณ์ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นมาตรการใดก็ล้วนส่งผลต่อการควบคุมการระบาดและวิถีชีวิตของประชาชน หลายประเทศในยุโรปเลือกจำกัดการเข้าประเทศหรือปิดพรมแดน ซึ่งไม่ว่าจะเข้มงวดเพียงใดก็ยังไม่สามารถระงับการแพร่ระบาดได้จนทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมหาศาล เช่นเดียวกับในสหรัฐที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อทะลุ 2 แสนคนเป็นอันดับหนึ่งของโลกตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา
โรคโควิด-19 กำลังสร้างจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ให้กับสังคมโลก วิถีชีวิตของผู้คน ทำให้ต้องรู้จักคำว่า “Social Distancing” และอีกหลายๆ เรื่อง เช่นเดียวกับเรื่องสิทธิส่วนบุคคล ไปจนถึงเรื่องใหญ่อย่างสิทธิมนุษย์ชนที่ดูจะกลายเป็นเรื่องรองลงไปทันทีและจำเป็นต้องลดความสำคัญลงเพื่อมาตรการป้องกันโรค ด้วยความปลอดภัยของสังคมส่วนรวมเป็นเรื่องสำคัญกว่า
วิถีชีวิตของเราจึงค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปโดยไม่รู้ตัว เช่นการทำงานแบบเวิร์คฟรอมโฮมก็ทำให้ได้เห็นว่าในอนาคตอาจไม่มีความจำเป็นต้องมีสำนักงานก็สามารถทำธุรกิจกันได้ แต่ทั้งนี้จะผ่านไปถึงจุดเปลี่ยนเหล่านั้นได้ก็ต้องก้าวข้ามความโกลาหลวุ่นวายในวันนี้ไปให้ได้สำเร็จ เพราะแม้จะอยู่รอดปลอดภัยจากโรคติดต่อ แต่โรคหวาดระแวง โรควิตกจริตอาจติดตัวเราต่อไปอีกนานหลายปี
ที่ผ่านมาได้เห็นแล้วว่าสังคมวิตกกังวลจนไม่เป็นอันทำการทำงานกันเลย เพียงแค่ได้ข่าวว่ามีญาติหรือคนที่รู้จักของพนักงานที่รู้จักเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยก็ไม่อยากติดต่อประสานงาน บางครั้งลูกค้าหรือคู่ค้าที่ทราบเรื่องก็ยกเลิกประชุมไปเสียเลยโดยไม่สนใจข้อเท็จจริง แม้บางครั้งเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่หลายๆ คนกลับตื่นตระหนกกันจนเกินความเป็นจริง จนทำให้ทั้งสังคมหวาดผวา ก่อให้เกิดความระแวง ความไม่มั่นคงในจิตใจ จนอาจกลายเป็นโรคซึมเศร้าได้ในอนาคต
ทว่าผลกระทบทั้งหมดนี้ถือว่ายังน้อย หากไม่มีความชัดเจนของมาตรการภาครัฐที่จะส่งผลกระทบถึงปากท้องของคนทั่วไป โดยเฉพาะแรงงานจากภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมที่ปิดตัวลงอย่างกระทันหัน เพราะเมื่อมาตรการเข้มข้นขึ้นก็ย่อมเกิดคนว่างงานตามมาจำนวนมาก แม้ประชาชนจะพร้อมให้ความร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อหยุดยั้งโรคร้าย แต่เขาจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรหากขาดรายได้จากงานที่เคยทำอยู่
หลายๆ ประเทศจึงออกมาตรการให้ความช่วยเหลือประชาชน ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐที่ให้เงินสนับสนุนคนละ 1,200 ดอลลาร์ และเพิ่มให้ครอบครัวที่มีเด็กอีกคนละ 500 ดอลลาร์ หรืออังกฤษที่มีมาตรการช่วยเหลือ 80% ของเงินเดือนที่ได้รับ และล่าสุดญี่ปุ่นมีมาตรการเยียวยาครัวเรือนละ 3 แสนเยน
สำหรับประเทศไทยภาครัฐเองก็ได้ออกมาตรการช่วยเหลือ อย่างเงินอุดหนุนและเยียวยาซึ่งนับเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม เสียดายแต่เพียงว่าขาดความชัดเจนว่าใครบ้างที่เข้าหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และเวลาที่ใช้ในการคัดกรองข้อมูล และที่สำคัญจะได้เงินช่วยเหลือเมื่อใด เพราะแต่ละคนแต่ละครอบครัวก็ล้วนมีความจำเป็นต้องใช้เงินเพื่ออยู่รอดให้ได้ในช่วงเวลายากลำบากนี้
หากขาดความชัดเจน ก็อาจทำให้พวกเขาต้องหันไปหาเส้นทางที่ผิดกฎหมาย ซึ่งนั่นก็จะทำให้อาชญากรรมเกิดขึ้นตามมาจำนวนมาก ภาครัฐจึงต้องคิดให้รอบด้านก่อนที่จะประกาศมาตรการใดๆ ตามมา รวมถึงคิดให้ละเอียดถึงงบประมาณที่ต้องใช้ในภาพรวม
ความน่ากลัวเพราะผลกระทบจากโควิด-19 นั้นมีมากมายอย่างที่เรารู้กัน แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ “ความไม่ชัดเจน” ว่าเราควรทำตัวอย่างไร ต้องได้รับผลกระทบอย่างไร นานเท่าใด หากจะได้รับการเยียวยาจะเป็นเมื่อใด ฯลฯ ซึ่งแก้ไขได้ด้วยการบริหารจัดการให้รัดกุมที่สุด
ท้ายที่สุด ผมเชื่อว่าเราก็คงจะก้าวผ่านโควิด-19 ไปด้วยกันได้สำเร็จ ขอเพียงแต่ทุกคนมีความมุ่งมั่นที่จะป้องกันตัวเองและคิดถึงส่วนรวมมากกว่าความสบายส่วนตัว ในขณะที่ภาครัฐก็ต้องวางแผนและจัดการทุกอย่างให้ชัดเจน คิดถึงผลกระทบรอบด้านอย่างรอบคอบและทันเหตุการณ์ให้มากที่สุด และสุดท้ายขอให้คนไทยร่วมใจสู้...แล้วเราจะผ่านมันไปด้วยกัน