ในท่ามกลางวิกฤติโควิด-19เราได้เห็นการเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองและนักการเมืองแตกต่างออกไป
บางพรรคเข้าใจแบบเดิมๆว่า หากรัฐบาลแก้ปัญหาโควิดไม่ได้หรือปล่อยให้คนติดเชื้อจำนวนมาก จะกลายเป็นประเด็นอันโอชะ ให้ฝ่ายตรงข้ามออกมาขย้ำรัฐบาล
เริ่มจากพรรคเพื่อไทย ที่นำโดย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ที่ออกมาโหมตีกระหน่ำการแก้ปัญหาของรัฐบาล พร้อมสรุปว่าล้มเหลว
โดยหยิบเอากรณีหน้ากากอนามัยหลายล้านชิ้นล่องหน และมีการกักตุน รวมถึงเจลที่ไม่มีขาย ถึงมีขายทั้งเจลและหน้ากากก็ราคาแพง รัฐคุมไม่ได้
ที่สำคัญคือหมอและพยาบาลไม่มีใช้
ทีแรกคอการเมืองก็นึกว่านี่คือประเด็นที่เข้าเป้าที่สุด แต่ปรากฏว่าตรงกันข้าม ประชาชนที่เขาหวาดวิตกกับโรคโควิด-19 กลับหวดกลับ คุณหญิงสุดารัตน์ และพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาโหนหน้ากากและเจลล้างมือ
โดยไม่ได้ให้กำลังใจหรือออกมาช่วยเหลือสนับสนุนรัฐบาล ในฐานะนักการเมือง ในฐานะพรรคการเมืองและในฐานะที่เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมาก่อน
ไม่ได้คะแนนแถมเสียคะแนน
ยิ่งตอนหลังรัฐบาลออกแคมเปญ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ด้วยแล้ว ทำให้นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลอย่าง สุภรณ์ อัตถาวงศ์ และ ธนกร วังบุญคงชนะ ออกมาโต้กลับว่า คุณหญิงน่าจะหยุดพูด เพื่อชาติ จะดีกว่า
ตอนหลัง คุณหญิงสุดารัตน์ เลยหันมาตั้งศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์โควิดแบบออนไลน์กับสมาชิกพรรค ก็ยังไม่วายโจมตีและวิจารณ์การแก้ปัญหาของรัฐบาล ในทางที่ไม่สร้างสรรค์ ก่อนจะลดบทบาทและเงียบไปในที่สุด
จะโผล่มาอีกครั้งก็เรื่องไข่แพงและไข่ขาดตลาด ซึ่งก็ไม่ได้คะแนนอยู่ดีเพราะประชาชนเขาเข้าใจการบริหารจัดการของรัฐบาล
ส่วนอีกพรรคคือ คณะอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล เริ่มจาก ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปิยะบุตร แสงกนกกุล และ พรรณิการ์ วาณิช ที่สวมหน้ากากและออกมาโจมตีรัฐบาล
ธนาธร ประกาศให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกแล้วให้สภาเลือกนายกฯมาแก้วิกฤติโควิด พร้อมกับรณรงค์ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ
ปรากฏว่าถูกระแสตีกลับแทบตั้งหลักไม่ทันเหมือนกัน
ส่วนพรรคก้าวไกลที่เป็น ”นอมินี” ของอนาคตใหม่ ก็ออกมาโจมตีและวิจารณ์การแก้ปัญหาของรัฐบาล ซึ่งถูกบรรดานักเลงคีย์บอร์ดทั้งหลาย เข้าไปถล่มเพจของพรรคก้าวไกล เสียเละเทะ
ก่อนจะกลับลำทำข้อเสนอในการแก้ปัญหาต่อรัฐบาล แต่ข้อเสนอของพรรคก้าวไกลก็คือสิ่งที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ทำอยู่แล้ว
นี่เฉพาะพรรคฝ่ายค้าน ที่ต้องหลบกระแสของโควิดแบบไม่เป็นท่า
แม้นที่ผ่านมา จะมีพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค พยายามจะตีกันด้วยการปิดจังหวัด เรียกว่า ออฟไซด์หรือล้ำเส้น กระทรวงมหาดไทยและรัฐบาลกลาง
หรือเจ้ากระทรวงฯบางกระทรวงพยายามสร้างคะแนนเสียงจากความเหนื่อยล้าของหมอและพยาบาลที่แต่สุด ไม่ได้คะแนน แถมเสียคะแนนอีกต่างหาก
นี่คือบริบทที่เกิดขึ้นกับการเมืองไทยที่เขาเรียกว่า มาไม่ถูกที่ถูกเวลา ไม่ดูตาม้าตาเรือ นี่หากพล.อ.ประยุทธ์ หยุดโควิดได้ภายใน3 เดือน แล้วยุบสภาเลือกตั้งใหม่
บางพรรคการเมืองอาจจะสูญพันธุ์ก็ได้ แล้วจะรู้ว่า โควิด-19นี่ไม่ธรรมดา