ส่องสัญญาของมหาเศรษฐี (2)

ส่องสัญญาของมหาเศรษฐี (2)

เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว คอลัมน์นี้พูดถึงเหตุผลของ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ที่ร่วมมือกับ “บิล เกตส์” ชักชวนมหาเศรษฐีด้วยกัน

ให้ร่วมบริจาคอย่างต่ำครึ่งหนึ่งของทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น โดยตัวเขาเองให้คำมั่นสัญญาว่าจะบริจาค 99% ของทรัพย์สินหลายหมื่นล้านดอลลาร์ของตน เขาได้เริ่มบริจาคบ้างแล้ว วันนี้จะพูดถึงเหตุผลของบิล เกตส์เป็นหลัก

ในคำมั่นสัญญาของเขา บิล เกตส์เขียนว่าเขาจะบริจาคทรัพย์สินส่วนใหญ่เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น แต่ไม่ได้ระบุว่าจะเป็น 95% ของทรัพย์สิน เรื่องนี้เขาพูดไว้ในบริบทอื่น เช่นเดียวกับวอร์เรน บัฟเฟตต์ บิล เกตส์เขียนถึงความโชคดีที่ทำให้เขามีทรัพย์สินกองมหาศาลเกินความคาดฝันและพร้อมกับความโชคดีนั้นคือความรู้สึกว่าตนมีความรับผิดชอบต่อสังคมสูงด้วย ในคำมั่นสัญญา เขาเน้นประเด็นเกี่ยวกับสุขภาพและการศึกษาโดยเฉพาะของเด็กในประเทศกำลังพัฒนามากที่สุด

ข้อมูลหลักที่ทำให้บิล เกตส์ถึงกับตกใจเมื่อได้เห็นเป็นครั้งแรก ได้แก่ การตายของเด็กเล็กปีละราว 5 แสนคนเนื่องจากไม่สามารถต้านทานไวรัสโรต้าซึ่งทำให้ท้องร่วงร้ายแรงได้ เขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับสภาพเช่นนี้มาก่อนเพราะมันไม่เป็นข่าวพาดหัวเหมือนเหตุการณ์จำพวกเครื่องบินตก เด็กในประเทศกำลังพัฒนาจำนานมากยังตายด้วยโรคที่ถูกขจัดไปจากประเทศก้าวหน้าหมดแล้ว เพราะขาดความใส่ใจถึงกับไม่รู้กันโดยทั่วไปด้วยว่ามีไวรัสชื่อโรต้า ส่วนในประเทศก้าวหน้า เด็กจำนวนมากยังขาดโอกาสทางการศึกษาแม้พ่อแม่จะพยายามอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม

บิล เกตส์เชื่อว่าทุกชีวิตมีค่าเท่ากัน ฉะนั้น เด็กทุกคนควรจะมีโอกาสเติบโตและสามารถทำสิ่งสำคัญ ๆ ตามความฝันของตนได้ ด้วยเหตุนี้ มูลนิธิเพื่อการกุศลของเขาจึงทุ่มเททรัพย์สินจำนวนมากเพื่อป้องกันการตายจากโรคร้ายที่อาจป้องกันได้พร้อมกับพยายามทำลายอุปสรรคกีดขวางต่อการเข้าถึงการศึกษาและการรักษาพยาบาล (มูลนิธิของบิล เกตส์ก่อตั้งเมื่อปี 2543 หรือ 10 ปีก่อนที่เขาและวอร์เรน บัฟเฟตต์จะชักชวนมหาเศรษฐีให้บริจาคทรัพย์สินอย่างต่ำครึ่งหนึ่งเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น บิล เกตส์และภรรยาได้บริจาคให้มูลนิธินี้แล้วกว่า 36,000 ล้านดอลลาร์)

เขาพูดถึงวัคซีนว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ให้ความหวังสูงมาก โลกได้ฉีดวัคซีนให้เด็กจำนวนนับล้าน แต่ยังมีอีกนับล้านที่ต้องการวัคซีนป้องกันโรคที่เราสามารถป้องกันได้แล้ว ฉะนั้น เขาต้องการช่วยให้เด็กเหล่านั้นเข้าถึงวัคซีนและจะพยามพัฒนาวัคซีนใหม่ๆ ขึ้นมาอีก ทางด้านการศึกษาก็เช่นกัน เขาอ้างว่าระบบการศึกษาของอเมริกาก้าวหน้าสูง โรงเรียนจำนวนมากสามารถช่วยเด็กให้ผ่านอุปสรรคสารพัดได้ แต่โรงเรียนแบบนี้ยังมีไม่พอ มูลนิธิของเขาจึงจะเข้าไปสนับสนุนให้เด็กทุกคนมีโอกาศเรียนได้ถึงระดับมหาวิทยาลัยและประสบความสำเร็จในชีวิต

อาจเป็นที่ทราบกันแล้วว่า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา บิล เกตส์ประกาศลาออกจากตำแหน่งกรรมการของบริษัทไมโครซอฟท์ซึ่งเขาสร้างขึ้นมาด้วยมือและทำให้เขาเป็นอภิมหาเศรษฐี ตำแหน่งกรรมการเป็นตำแหน่งสุดท้ายในบริษัทหลังจากเขาได้สละตำแหน่งหัวหน้าคณะผู้บริหาร เมื่อปี 2543 โดยบอกว่า การลดภาระในบริษัทจะเอื้อให้เขาปันเวลาให้แก่มูลนิธิได้มากขึ้น ตอนนี้เขาอายุยังไม่ครบ 65 ปีบริบูรณ์และบอกว่าต่อไปจะอุทิศเวลาทั้งหมดให้แก่งานของมูลนิธิ

อนึ่ง อาจไม่เป็นที่ทราบกันอย่างกว้างขวางนักว่า บิล เกตส์และวอร์เรน บัฟเฟตต์มองว่า งานเกี่ยวกับการบริจาคทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นนั้นเป็นงานยากยิ่งหากต้องการจะให้ได้ผลตามความมุ่งหมาย อันที่จริง วอร์เรน บัฟเฟตต์เคยพูดว่า การหาเงินนั้นง่ายกว่าการใช้เงินมาก หลังจากค้นหาวิธีอยู่นาน วอร์เรน บัฟเฟตต์ตัดสินใจมอบทรัพย์สินของเขาปีละหลายพันล้านดอลลาร์ให้แก่มูลนิธิของบิล เกตส์โดยมีข้อตกลงกันว่ามูลนิธิจะต้องใช้ทรัพย์สินนั้นให้หมดภายในปีที่มอบ เมื่อเขาถึงแก่กรรม ทรัพย์สินที่เหลือจะตกเป็นของมูลนิธิด้วย โดยมูลนิธิจะต้องใช้ให้หมดภายใน 10 ปี ด้วยเหตุนี้ บิล เกตส์จึงมองว่า เขาจะต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้แก่มูลนิธิ มิฉะนั้น ทรัพย์สินกองมหาศาลทั้งของเพื่อนและของเขานั้นจะสร้างประโชน์ให้แก่ชาวโลกไม่ได้ดังใจปรารถนาของเขาและเพื่อน