ส่องมหาเศรษฐี

ส่องมหาเศรษฐี

ทันทีที่ข้อมูลบ่งชี้ว่าไวรัสโควิด-19 อาจจะสร้างวิกฤติใหญ่ให้แก่ชาวโลก “บิล เกตส์” ประกาศว่าเขาจะบริจาคเงิน 100 ล้านดอลลาร์เพื่อต่อสู้กับมัน

สำหรับผู้ที่รู้เรื่องราวของเขาอยู่บ้าง การตัดสินใจแบบรวดเร็วเช่นนี้คงไม่เป็นที่แปลกใจ ทั้งนี้เพราะเขาได้บริจาคทรัพย์นับหมื่นล้านดอลาร์ต่อสู้กับโรคร้ายและเพื่อช่วยยกระดับสุขภาพของชาวโลกผ่านมูลนิธิของเขาอยู่แล้ว

การคลุกคลีอยู่ในด้านนี้มานานทำให้ บิล เกตส์แสดงความวิตกออกมาเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ชาวโลกไม่พร้อมที่จะรับมือกับโรคระบาดใหญ่ครั้งต่อไป ซึ่งอาจคร่าชีวิตชาวโลกได้นับ 100 ล้านคน โควิด-19 อาจเป็นเชื้อโรคที่เขาแสดงความวิตกออกมานั้น เขาจึงทุ่มเงินเข้าต่อสู้ทันที

ณ วันนี้ ไม่เป็นที่ประจักษ์ว่า บิล เกตส์ได้ชักชวนบรรดามหาเศรษฐี รวมทั้งวอร์เรน บัเฟตต์ ให้ออกมาต่อสู้กับโควิด-19 หรือไม่ หรือชักชวนแล้วไม่ได้ผล ในกรณีของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งเป็นเพื่อนซี้รุ่นพ่อของบิล เกตส์ เขาอาจไม่ออกมาประกาศว่าจะบริจาคทรัพย์เพื่อเป้าหมายนี้โดยเฉพาะ

ทั้งนี้เพราะทุกปีเขาได้บริจาคทรัพย์สินหลายพันล้านดอลลาร์ให้บิล เกตส์ นำไปใช้ในด้านการกุศลผ่านมูลนิธิของตนอยู่แล้ว เงิน 100 ล้านดอลลาร์ที่บิล เกตส์บริจาคนั้นอาจรวมของวอร์เรน บัฟเฟตต์ไว้ด้วยก็ได้ ความไว้วางใจที่วอร์เรน บัฟเฟตต์มีต่อบิล เกตส์ เป็นตำนานซึ่งวางอยู่บนฐานของการมองโลกไปในทางเดียวกันมานานแล้ว นั่นคือชาวโลกเป็นฐานสำหรับการสร้างความร่ำรวยของเขา ฉะนั้น เขาจะต้องบริจาคความร่ำรวยนั้นให้เป็นผลดีแก่ชาวโลกบ้าง

อนึ่ง ปีนี้เป็นวาระครบรอบ 10 ปีที่บิล เกตส์กับวอร์เรน บัฟเฟตต์ ริเริ่มโครงการสำคัญร่วมกัน นั่นคือเชิญชวนมหาเศรษฐีทั่วโลกให้บริจาคทรัพย์สินของตนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ตอนนั้น 2 คนนี้เป็นมหาเศรษฐีลำดับ 1 และ 2 ของโลกซึ่งประกาศว่าจะบริจาค 95% และ 99% ของทรัพย์สินของตนตามลำดับเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น

แก่นของโครงการได้แก่การเปิดองค์กรกลางขึ้นมาชื่อว่า The Giving Pledge เพื่อให้บรรดามหาเศรษฐีแสดงความประสงค์ผ่านการเขียนคำมั่นสัญญาไว้กับองค์กรว่าจะบริจาคทรัพย์สินของตนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น การบริจาคนั้นจะมีผลในระหว่างที่ตนมีชีวิตอยู่หรือเมื่อตอนถึงแก่กรรมก็ได้ ในปีแรกเขาได้รับ 57 คำมั่นสัญญาจากมหาเศรษฐีซึ่งลงนามคนเดียวบ้างและรวมทั้งสามีภรรยาบ้าง

เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้เขียนคำมั่นสัญญาในปีแรกนั้น นอกจากบิล เกตส์ กับภรรยาและวอร์เรน บัฟเฟตต์แล้ว มีหลายคนที่น่าสนใจมาก เช่น มาร์ค ซักเคอร์เบิร์กกับภรรยา ตอนนั้นเขาอายุเพียง 26 ปี ไมเคิล บลูมเบิร์ก ซึ่งตอนนี้กำลังทุ่มทรัพย์สินส่วนตัวก้อนใหญ่เพื่อลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และเดวิด ร็อกกี้เฟลเลอร์ ซึ่งเป็นหลานของผู้ก่อตั้งมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ มูลนิธินี้ให้ทุนนักศึกษาไทยจำนวนมากไปเรียนในอเมริกาจนจบปริญญาเอก

หลังเวลาผ่านไปใกล้เต็ม 10 ปี มีผู้เขียนคำมั่นสัญญาแล้ว 207 สัญญา พวกเขามาจาก 23 ประเทศ ในบรรดาประเทศเหล่านี้ ไม่มีเกาหลี ญี่ปุ่น และไทยรวมอยู่ด้วย ผู้เขียนคำมั่นสัญญาบางคนเสียชีวิตแล้ว เช่น เดวิด ร็อกกี้เฟลเลอร์และพอล เอลเลน ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ร่วมกับบิล เกตส์

อาจเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ณ วันนี้ ตำแหน่งมหาเศรษฐีลำดับ 1 ของโลกตกเป็นของเจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งกิจการค้าขายออนไลน์อะเมซอน เขามีทรัพย์สินเกินแสนล้านดอลลาร์ เขาไม่เข้าร่วมโครงการบริจาคทรัพย์สินนี้ อย่างไรก็ดี อดีตภรรยาของเขาเข้ารวมโครงการทันทีหลังหย่าร้างจากสามีเมื่อปีที่แล้ว มีรายงานว่าในการหย่าร้างนั้น ภรรยาได้ทรัพย์สินกว่า 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ สื่อรายงานด้วยว่าการมองโลกต่างกันรวมทั้งในด้านการช่วยเหลือผู้อื่นเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การหย่าร้างของสองคนนี้

ในช่วงต้นปี 2563 มีมหาเศรษฐีให้คำมั่นสัญญาอีก 3 คน ก่อนสิ้นปีน่าจะมีเพิ่มขึ้นหลายคน มูลค่าของทรัพย์สินบริจาคซึ่งมากกว่า แสนล้านดอลลาร์อยู่แล้วจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มหาเศรษฐีไทยไม่มีทีท่าว่าจะไปร่วมกับเขา ฉะนั้น จะร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดโครงการในแนวเดียวกันขึ้นในบ้านเราบ้างได้ไหม?