โลกเสียหายอย่างหนักแน่กับไวรัสโควิด

โลกเสียหายอย่างหนักแน่กับไวรัสโควิด

ชักเชื่ออย่างที่หลายฝ่ายกังวลว่าไวรัส COVID-19 นี้จะไม่จากโลกนี้ไปอย่างธรรมดา กว่าเหตุการณ์จะคลี่คลายลงจะต้องทำให้โลกเผชิญกับความตื่นกลัว

และสูญเสียอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนับตั้งแต่ไข้หวัดสเปนเมื่อร้อยปีก่อนเลยเชียว ถึงตอนนี้หลายคนคงเชื่อเหมือนผมว่าไวรัสนี้แข็งแกร่งเกินกว่าที่จะมีที่มาจากค้างคาว ตัวนิ่ม หรืองูธรรมดา มันน่าจะมาจากห้องทดลองตัดแต่งพันธุกรรม จึงได้พัฒนาตนเองรวดเร็วและน่ากลัวถึงเพียงนี้ ภายในเดือนเศษที่กระจายออกจากอู่ฮั่น การวิเคราะห์คาดการณ์ทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวไวรัสในขั้นต้นผิดพลาดแทบทั้งหมด แล้วมนุษยชาติจะทันกาลกับการรับมือมันได้หรือ

ผมไม่เชื่ออีกแล้วว่าไวรัสนี้เป็นไปตามธรรมชาติ น่าจะเกิดจากมนุษย์ทำในห้องแล็ปแล้วหลุดออกมาเสียมากกว่า ส่วนจีนจะทำหลุดหรือฝรั่งจะเอาไปปล่อยนั้นก็เป็นเรื่องที่ค่อยวิเคราะห์กันต่อไป แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นโรคที่ติดกันง่ายๆ จากการกิน การค้าค้างคาว เพราะตัวโรคค่อนข้างพิสดารเกินกว่าปกติว่าจะสามารถก่อให้เกิดความเสียหายต่อร่างกายมนุษย์ได้เยอะ เร็ว รุนแรง และยาวนานได้ขนาดนั้น เรียกได้ว่าการวิเคราะห์ของหมอในเดือน ม.ค.ผิดพลาดแทบทั้งหมด และมีแนวโน้มว่าจะผิดอีกหลายเรื่องต่อไปในอนาคตด้วย

ยกตัวอย่างเช่นที่เคยบอกว่าลอยไปในอากาศไม่ได้ (Airborne) ก็ได้แล้ว เคยติดแบบคนสู่คนไม่ได้ ก็ได้แล้ว แถมติดอย่างบ้าคลั่ง หวัดปกติไอจามใกล้กันยังไม่ติดกันเลย แต่ไวรัสนรกนี่แค่ร่วมโบสถ์ ร่วมเรือสำราญเดียวกัน ยังติดได้หลายร้อย  นี่ล่าสุดยังข้ามสายพันธุ์ไปติดสุนัขด้วย แสดงว่าไวรัสมีการพัฒนาตัวเองสูงมาก เคยบอกว่าระยะฟักตัว 14 วัน นี่ก็ไม่น่าใช่ เพราะคนถูกกักบริเวณครบแล้ว ยังกลับมาเป็นอีกได้ ถ้าเชื้อไม่หลบในเก่ง ก็ทนทานยาวนานกว่าที่คาด จนทำให้บางแห่งกักตัวผู้ที่อาจติดเชื้อถึง 27 วันก็มี ยาแก้เอดส์ที่เคยอ้างว่ารักษาได้ผล ปัจจุบันไม่พูดถึงกันแล้ว ทุกวันนี้จีนต้องขุดเอายาแผนจีนมารักษา ไทยก็หันไปวิจัยฟ้าทลายโจรเพราะคิดว่ามีคุณสมบัติครอบจักรวาล

ที่ว่าความร้อนหรืออุณหภูมิสูงจะป้องกันโรคได้ ก็ไม่น่าจะเป็นความจริงแล้ว สิงคโปร์เมืองร้อนฉึ่งยังระบาดไม่หยุด ที่ว่าคนอ่อนแอ ผู้สูงอายุ เป็นผู้ที่เสี่ยงความตายมากกว่าใครก็ไม่แน่ว่าจะจริง ที่เมืองจีนมีการเสียชีวิตทั้งครอบครัวยกบ้านมาแล้ว หมอในเมืองจีนที่มีเครื่องป้องกันครบครันดังชุดมนุษย์อวกาศก็ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก ในชั่วชีวิตครึ่งศตวรรษของผมยังไม่เคยทราบถึงสถานการณ์ร้ายแรงขนาดนี้

ตอนนี้มีผู้ติดเชื้อเกือบถึงแสนคน และระบาดไปทั่วโลกแล้ว แม้แต่ยุโรปที่ห่างไกล ฝรั่งที่ไม่ใส่ใจ ไม่ใส่หน้ากากป้องกันก็ติดเชื้อล้มตายลงอย่างรวดเร็ว การระบาดของไวรัสนี้ก็คล้ายกับโรคอันตรายสูงในอดีตเช่นกาฬโรคที่เคยระบาดอย่างหนักในสมัยศตวรรษที่ 14 และ 17 ก็มีเส้นทางคล้ายกันคือเริ่มจากจีน แพร่ไปขึ้นฝั่งที่อิตาลี และกระจายต่อไปไกลทุกภูมิภาคเท่าที่เรือสินค้าจะไปถึง ยุคนี้การเดินทางเชื่อมโยงแต่ละถิ่นนั้นมากกว่าอดีตเป็นพันเป็นหมื่นเท่า การติดต่อยิ่งง่าย สวนทางกับการป้องกันที่แทบเป็นไปได้ยาก ลำพังภูมิคุ้มกัน การกินร้อน ล้างมือ ปิดหน้ากาก กักตัว เท่านั้นไม่สามารถรับมือกับภาวการณ์ทำลายปอดของเชื้อได้ ถึงแม้ว่าสาธารณสุขและการแพทย์ยุคนี้จะก้าวหน้าเพียงไร แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้อย่างชะงัด

ไวรัสไม่ได้เพียงแต่นำหายนะด้านสาธารณสุขมาสู่มนุษยชาติเท่านั้น ความชะงักงันของการหยุดติดต่อกัน อันเป็นผลมาจากการแตกตื่นกำลังก่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจตามมา เมื่อการผลิต การส่งกำลังบำรุง การท่องเที่ยวและสันทนาการลดลง ความมั่งคั่งของสังคมก็จะลดลงฮวบฮาบด้วย หลายภาคส่วนธุรกิจจะล้มและฉุดภาคอื่นๆ ตามไปด้วย การฟื้นตัวต้องรออีกนานเท่าใดไม่ทราบได้ แต่ในอดีตนั้นโรคระบาดที่มีผู้สูญเสียขนานใหญ่นี้กินเวลาหลายปีทีเดียว

ระหว่างรอก็ทะเลาะกันไปก่อนนะ ความกลัวติดเชื้อได้ขุดรากของความเห็นแก่ตัวและเหยียดคนต่างพวก ซึ่งเป็นด้านมืดที่มนุษย์พยายามปิดบังอยู่ออกมา การรังเกียจและแบ่งแยกจะมีขึ้นตั้งแต่ระดับแย่งชิงสินค้าจำเป็นในร้านค้าไปถึงระดับชาติ เช่น การดูถูกคนเอเชียไว้ก่อน ความรู้สึกเกลียดชังกันนี้ส่งผลถึงปัญหาสังคมอีกหลายอย่างและจะมีส่วนชะลอความร่วมมือในการดำเนินการด้านต่างๆ รวมทั้งการแก้ปัญหาโรคนี้ด้วย

ที่วาดภาพความน่ากลัวมาทั้งหมดนี้ดูเหมือนว่าจะมีแต่ความสิ้นหวัง แต่แท้ที่จริงคงไม่ถึงขนาดนั้นประชากรโลกคงไม่ตายหลายสิบเปอร์เซ็นต์ก่อนไวรัสจะสงบ วัคซีนรักษา ตลอดจนภูมิคุ้มกันคนต้องพัฒนาขึ้นยืนหยัดกับโรคร้ายได้บ้าง

เมื่อถึงจุดที่เลวร้ายที่สุดก็น่าจะปรากฏกระบวนการที่ชอบธรรมกว่าปัจจุบันในการธำรงไว้ซึ่งสังคม มิฉะนั้นก็จะอยู่ไม่ได้ ระบบโครงสร้างที่เคยเอื้อต่อความเลวร้ายอาจพังครืนเปิดทางให้กับแนวทางใหม่ก็เป็นได้ โลกอาจเปลี่ยนโฉมหน้าไป หลังจากได้สูญเสียอะไรต่อมิอะไรกันมิใช่น้อย เหมือนทุกครั้งที่ผ่านวิกฤติโรคระบาด ที่อารยธรรมยังส่งต่อกันได้ ความเจริญรุ่งเรืองจะค่อยๆ กลับมา แล้วเราก็จะลืมเรื่องเหล่านี้ไป จนกว่ามันจะอุบัติขึ้นอีกครั้ง...