จะนำเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจเอสเอ็มอีได้อย่างไร

จะนำเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจเอสเอ็มอีได้อย่างไร

เมื่อเปรียบเทียบระหว่างธุรกิจเอสเอ็มอีที่ตั้งตัวมาได้ระยะหนึ่งจนธุรกิจอยู่ตัวสามารถเดินไปได้ด้วยตัวเองในตลาดแล้ว

กับธุรกิจสตาร์อัพที่เริ่มจากการเกิดไอเดียใหม่ที่ยังไม่เคยปรากฏขึ้นในตลาดและในบ่อยครั้งตัวธุรกิจเองยังไม่เกิดขึ้นอย่างเป็นตัวเป็นตน เรื่องของความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีทันสมัย ย่อมนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้เนื่องจากไอเดียธุรกิจของสตาร์อัพส่วนใหญ่มักจะอ้างอิงกับการใช้เทคโนโลยีมาเป็นตัวนำของธุรกิจ

ส่วนธุรกิจเอสเอ็มอีนั้น แม้สามารถบริหารให้ธุรกิจเดินไปได้จนเป็นกิจวัตรประจำวัน เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่จำเป็นจะต้องขยายธุรกิจให้เติบโตขึ้นเพื่อรักษาระดับกำไรให้ได้เท่าเดิม เนื่องจากโดยธรรมชาติ ต้นทุนของธุรกิจมักจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าความสามารถในการขายและการทำกำไร ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนด้านพนักงานที่เงินเดือนหรือค่าแรงจะต้องเพิ่มขึ้นทุกปี หรือต้นทุนสินค้าหรือวัตถุดิบที่มักจะเพิ่มขึ้นตามสภาพการเติบโตของระบบเศรษฐกิจโดยรวม

วิธีหนึ่งที่เอสเอ็มอีจะสามารถนำมาใช้เพื่อสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ จึงได้แก่ การนำเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจของตนเอง

ในอดีต การนำเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจเอสเอ็มอี มักจะเกิดขึ้นในลักษณะของการซื้อเครื่องจักรใหม่มาใช้ทดแทนเครื่องจักรเดิมที่เริ่มจะล้าสมัยไปแล้ว ไม่สามารถนำมาใช้ผลิตสินค้าที่จะตอบโจทย์ของตลาดยุคใหม่ได้

การนำเทคโนโลยีมาใช้ในลักษณะนี้ บางครั้งเจ้าของธุรกิจก็ไม่สามารถมีทางเลือกเพื่อให้ได้เทคโนโลยีที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของธุรกิจได้มากนัก ส่วนใหญ่จำเป็นต้องเลือกซื้อจากรูปแบบสำเร็จรูปที่เจ้าของเทคโนโลยีนำเสนอมาเท่านั้น ซึ่งอาจมีบางส่วนที่เกินความจำเป็น และขาดบางส่วนที่อยากได้ไป แต่ในปัจจุบัน เจ้าของหรือผู้บริหารเอสเอ็มอี อาจมีประสบการณ์ด้านการเลือกใช้เครื่องจักรหรือเทคโนโลยีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธุรกิจเอสเอ็มอีที่เริ่มจะถ่ายโอนอำนาจการบริหารไปยังทายาทรุ่นต่อไปที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับกับการใช้เทคโนโลยีต่างๆ มาแล้วเป็นอย่างดี

แต่แนวทางการตัดสินใจเลือกเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้กับธุรกิจ ก็ยังอาจเป็นเรื่องยากสำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีที่ยังไม่อาจรับความเสี่ยงได้หากตัดสินใจเลือกเทคโนโลยีผิด เมื่อซื้อมาแล้ว ไม่สามารถนำมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หรือนำมาใช้ไม่ได้เลย

หลักคิดสำคัญในการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อการเติบโตของธุรกิจก็คือ เทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ จะต้องเป็นเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับลักษณะธุรกิจ หรือเสริมกับกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เอสเอ็มอีใช้เป็นจุดแข็งในตลาด

ดังนั้น ผู้บริหารธุรกิจเอสเอ็มอีที่ต้องการพัฒนาธุรกิจโดยนำเทคโนโลยีมาใช้ จำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับบุคคลอย่างน้อย 2 กลุ่มที่จะมาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อสนับสนุนการเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสม

กลุ่มแรกก็คือ ผู้ที่มีความรู้หรือประสบการณ์เกี่ยวกับธุรกิจหรือทิศทางที่ต้องการปรับเปลี่ยนให้กับธุรกิจเดิมเป็นอย่างดี ซึ่งอาจจะเป็นตัวเจ้าของหรือทายาทธุรกิจเอง หรือผู้ร่วมงานที่รับผิดชอบโดยตรงกับกระบวนการทางธุรกิจ เช่น ในด้าน การผลิต การตลาด การออกแบบ การวางแผน งานวิศวกรรม ฯลฯ ซึ่งอาจหาได้ไม่ยาก เพราะเป็นบุคลากรที่อยู่ในธุรกิจอยู่แล้ว

ส่วนอีกลุ่มหนึ่งก็คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ซึ่งอาจเป็นบุคลากรภายใน หรือมาจากบุคลากรภายนอกก็ได้ เช่น อาจารย์ในสถาบันการศึกษา บริษัทที่ปรึกษา หน่วยงานภาครัฐที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ฯลฯ ซึ่งเอสเอ็มอีอาจละเลยที่จะขอความคิดเห็นหรือการขอคำปรึกษาก่อนที่จะตัดสินใจเลือกเทคโนโลยีโดยใช้ข้อมูลจากผู้ผลิตหรือเจ้าของเทคโนโลยีเพียงด้านเดียว

ปัญหาอาจเกิดขึ้นจากความไม่คุ้นเคยในการใช้บุคลากรภายนอกมาร่วมในการตัดสินใจทางธุรกิจ เป็นเป็นการละเลยโดยไม่ได้ตั้งใจของเจ้าของธุรกิจเอสเอ็มอี

ขั้นตอนแรกที่สำคัญในการตัดสินใจนำเทคโนโลยีมาใช้กับธุรกิจเอสเอ็มอีก็คือ การมีความเข้าใจในระดับลึกเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ทางธุรกิจว่าต้องการจะเติบโตไปในทิศทางใด และการคัดเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับกลยุทธ์ทางธุรกิจ

โดยนำความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านธุรกิจและด้านเทคโนโลยีมารวมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

หากเอสเอ็มอีต้องการที่จะมีเครื่องมือด้านบริหารจัดการที่เป็นระบบมาช่วยในการกำหนดแนวทางและการเลือกเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจเพื่อการเติบโตในอนาคต อาจจะเริ่มต้นด้วยการหาความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเครื่องมือที่เรียกว่า แผนที่นำทางเทคโนโลยี หรือ Technology Roadmap” ซึ่งอาจหาข้อมูลเบื้องต้นจากหนังสือด้านการบริหารจัดการด้านเทคโนโลยี หรือ สืบค้นข้อมูลได้จากอินเตอร์เน็ต เพื่อที่จะให้ได้แนวคิดที่สอดคล้องและเหมาะสมมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจเอสเอ็มอีของตนเองเพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งให้กับธุรกิจภายใต้การแข่งขันในยุคของเทคโนโลยีปัจจุบันและในอนาคต