ข่าวจริง ข่าวลวง 'ไวรัสโคโรน่า' และการรับมือของรัฐบาล?
ข่าวร้ายแพร่กระจายเร็วกว่าข่าวดี กรณี "ไวรัสโคโรน่า" ก็เป็นเช่นนั้น หากนับตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค. 2562 เป็นต้นมา จนถึงวันนี้ (28 ม.ค.)
เกือบ 1 เดือนที่โรคปอดอักเสบรุนแรง ที่องค์การอนามัยโลก เรียกว่า Novel Coronavirus หรือ "ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019" เริ่มแพร่จากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน กระจายไปทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อราว 4 พัน ยอดผู้เสียชีวิต 106 ราย
สำหรับประเทศไทย (28 ม.ค.) มีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 จำนวน 14 ราย ส่วนใหญ่เป็นคนจีนที่เข้ามาในไทย สามารถรักษาหายดีและออกจากโรงพยาบาลแล้ว 5 ราย และอีก 9 ราย รักษาตัวอยู่
ด้วยเหตุมีคนไทยรายแรกติดเชื้อไวรัสโคโรน่า (22 ม.ค.) หลังก่อนหน้านี้เดินทางกลับมาจากพื้นที่เสี่ยงคือเมืองอู่ฮั่น ซึ่งผู้ป่วยอยู่ที่นครปฐม ทำให้กระแสความสนใจของประชาชนเริ่มตระหนัก หันมาสนใจข่าวใกล้ตัวของการแพร่ไวรัสโคโรน่า ไม่ว่าจะเป็น ที่มาของเชื้อโรคที่มาจากจีน , ตัวเชื้อโรคกลายพันธุ์จากคนสู่คน , ต้นตอมาจากค้างคาว , อาการของคนติดเชื้อไวรัสโคโรน่า , จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า และ แพทย์ผู้รู้เกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรน่า เป็นต้น
ท่ามกลาง "ข้อมูลข่าวสารล้นทะลัก" จากช่วงต้นสถานการณ์เริ่มแพร่เชื้อไวรัสโคโรน่า ที่ปัจจัยภายนอกนอกประเทศ จีนไม่ค่อยเปิดเผยข้อมูล ส่วนปัจจัยภายใน จะกระทบการท่องเที่ยวและปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 และร่างพ.ร.บ.งบประมาณ ที่มี ส.ส. เสียบบัตรแทนกันในการโหวตออกเสียง เป็นต้น กลายเป็นข่าวแพร่เชื้อไวรัสโคโรน่ายังไม่โดดเด่นมากนัก
ทว่า การที่มีคลิปไวรัลถูกปล่อยออกมาเมื่อหลายวันก่อน ผสมปนเปข่าวลือมีคนจีนเมืองอู่ฮั่นป่วยล้มกลางถนนหลายคลิปอย่างต่อเนื่อง หรือคลิปที่อ้างว่าเป็นจนท.หน่วยแพทย์จีนออกมาเปิดเผยข้อมูล ทั้งความคิดเห็นคนไทยในและนอกเมืองอู่ฮั่นออกมาอยากกลับประเทศ จนกระทั่งแท็ก #ไวรัสโคโรน่า ติดท็อปแทบมาทุกวัน และตามตัว #รัฐบาลเฮงซวย ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลในที่สุด
แน่นอนว่า การรับมือไวรัสโคโรน่าของรัฐบาลไทย ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความเคลื่อนไหวเตรียมรับมือในทางปฏิบัติเป็นระยะ
แต่จะพอเพียงต่อความรู้สึกของประชาชนหรือไม่ ซึ่งแท็ก #ไวรัสโคโรน่า #รัฐบาลเฮงซวย เป็นตัวบ่งชี้ความรู้สึกของประชาชนได้เป็นอย่างดี แม้จะมีการโต้แย้งว่าเป็นการปั่นกระแสจากขั้วการเมืองฝั่งตรงข้ามรัฐบาลก็ตาม อาจไม่ใช่เสียทั้งหมด เพราะความตกใจ ความกลัวที่ทุกคนเปิดรับสื่อออนไลน์ ผ่านโทรศัพท์มือถือ ย่อมตื่นตระหนกอยู่ ซึ่งสื่อออนไลน์ต่างๆ รับรู้ได้จึงตีข่าวเพื่อเตือนภัยด้วยหวังว่าอย่าดูเบา
กระนั้นเอง แรงกดดันประชาชนผ่านสื่อพุ่งตรงไปยังนายกฯ ด้วยการคำถามเรื่องมาตรการดูแลปกป้อง และติดตามแอคชั่นของรองนายกฯที่ดูแล กระทรวงสาธาณสุข, กระทรวงคมนาคม และรวมถึงกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ที่มีเจ้าหน้าที่ดูแลเกี่ยวพันกับ "คนจีน" ในประเทศไทย จะมีมาตรการเชิงรุกอย่างไรบ้าง แม้เข้าใจว่าทำงานรับมือต่อเนื่อง แต่เสียงสะท้อนทั้งสื่อและประชาชนเบาลงหรือไม่
วานนี้ (27 ม.ค.) นายกฯ แถลงการณ์ผ่านทีวีพูล กรณีไวรัสโคโรน่า ยกระดับศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ด้านการแพทย์และสาธารณสุข เป็นระดับ 3 ให้สอดคล้องกับความรุนแรงของสถานการณ์ บริหารจัดการทรัพยากรด้านการแพทย์และสาธารณสุข ทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชน และทางทหาร ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบการเฝ้าระวัง ค้นหา และคัดกรอง ช่องทางเข้า-ออกประเทศ ทั้ง 5 สนามบิน และช่องทางอื่นๆ
ล่าสุดวันนี้ (28 ม.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการรับมือสถานการณ์ไวรัสโคโรนา ว่าจะมีการตั้งวอร์รูม โดยกระทรวงสาธารณสุข และดูว่าจะดูแลชาวจีนที่เข้ามายังประเทศไทยอย่างไร สมควรที่จะปิดการเข้าออกประเทศไทยหรือไม่ ซึ่งต้องดูไปก่อน ยังไม่ถึงเวลา สั่งการให้กระทรวงกลาโหม เช่น ให้แพทย์ทหาร เข้ามาช่วยเหลือการทำงานของกระทรวงสาธารณสุขด้วย
"ยืนยันว่าอย่างไรสุขภาพต้องสำคัญที่สุด ซึ่งถ้าควบคุมได้ ทุกอย่างจะไม่มีปัญหา และขออย่าเอาประเด็นนี้มาเป็นปัญหาทางการเมือง เพราะมันอันตราย รัฐบาลทำเต็มที่แล้ว"
ดูเหมือน "แอคชั่นนายกฯ" จะทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลขึ้นมาบ้าง แต่สถานการณ์ที่ทุกคนเห็นข่าวสารจากต่างประเทศได้อย่างรวดเร็วผ่านสื่อออนไลน์และสื่อโซเชียล ไม่ต้องรอ "สื่อดั่งเดิม" อย่างวิทยุและโทรทัศน์ ซึ่งกลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องรับมือ
ขณะเดียวกัน วันก่อน (27 ม.ค.) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้เจ้าหน้าที่นำเสนอข่าวต่อสาธารณชนในทิศทางเดียวกัน หลังเกิดข่าวปลอม หรือเฟคนิวส์ (Fake news) เกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่ไม่ถูกการกลั่นกรองค่อนข้างมาก เช่น ข้อมูลผู้ป่วยที่ติดเชื้อ รวมถึงคลิปที่มีการส่งต่อในโลกออนไลน์ที่มีภาพคนล้ม ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยกระทรวงสาธารณสุข เตรียมตั้งวอร์รูมกลางในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องที่เกี่ยวข้องของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และจะมีการแถลงข่าวให้ข้อมูลวันละ 1 ครั้ง
อาจยังไม่เพียงพอ ในการรุกชี้แจงสื่อโซเชียลได้ทันกระแสสังคมหรือไม่ ขณะที่พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล จะพยายามช่วยกันเป็น "กระบอกเสียง" ในสื่อโซเชียลก็ตาม แต่เกิดไม่เป็นเอกภาพและประสิทธิภาพ ดังนั้น หากรัฐบาลเข้าใจจริตคนและสื่อ ย่อมจะเข้าใจการแก้ปัญหาให้ตรงจุดกว่านี้.. ไม่งั้น "ลุงตู่-หมอหนู" คงงานเข้าไม่เลิก และต่อเนื่อง เพราะไวรัสโคโรน่ายังคง "เขย่าขวัญ" คนจีนและคนไทยอย่างต่อเนื่อง..
หรือจะต้องให้แนะนำ อธิบายมาขนาดนี้แล้ว!!