ภาวะสะท้อนถอยหลัง .. ของสัตว์ยุคใหม่ !!

ภาวะสะท้อนถอยหลัง .. ของสัตว์ยุคใหม่ !!

ภาวะสะท้อนถอยหลัง .. ของสัตว์ยุคใหม่ !!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา .. ในสังคมที่มีความเจริญทางด้านวัตถุนิยมด้านเทคโนโลยีชั้นสูงอย่างปัจจุบัน ได้สะท้อนให้เห็นความจริงแท้ของธรรมอย่างชัดเจนอย่างยิ่งในทุกมิติอย่างน่าอัศจรรย์ แต่กลับไม่มีใครใส่ใจในธรรมที่ปรากฏอย่างเป็นธรรมดา อันแสดงความจริงแท้ของความไม่เที่ยงแท้แน่นอนดังกล่าว โดยเฉพาะความทุกข์ที่เพิ่มพูนทับถมในความทุกข์ และการแสดงให้เห็นว่า ทุกสรรพสิ่งไร้อัตตาเที่ยงแท้แน่นอน จะหาความเป็นตัวตนบุคคลเราเขามิได้เลย...

ทำไมสัตว์โลกจึงมองไม่เห็นสัจธรรมดังกล่าว ทั้งที่ปรากฏอย่างเปิดเผยในสังคมยุคไอที เช่น ภาวะ Disruption หรือ VUCA ... ที่สะท้อนลักษณะธรรมอันเป็นไปตามกฎของพระไตรลักษณ์ แสดงความเป็นกฎธรรมดา ๆ ที่ปรากฏมีอยู่ในธรรมชาติได้อย่างชัดเจน ไม่ต้องแปล ไม่ว่าจะเป็นภาวะการปรับเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ภาวะไร้ความแน่นอน ภาวะมีความซับซ้อนอยู่ในภาวะนั้น จนแสดงถึงภาวะคลุมเครือยากจะเข้าใจได้ถูก มองเห็นได้ชัด... อะไรเป็นเหตุให้สัตว์โลกเข้าสู่อนธการมืดมนเช่นนั้น ขอสาธุชนผู้มีสติปัญญาพึงพิจารณา...

จริง ๆ แล้ว หากเข้าใจเรื่องของวิถีจิต ที่แสดงออกถึงความมีชีวิตของสัตว์ทั้งหลายที่ขับเคลื่อนไปตามวิถีแห่งกิเลส ที่มีสภาวธรรมให้ความเร่าร้อน เศร้าหมอง มืดมน.. ก็จะเข้าใจในธรรมชาติของวิถีจิต หรือการขับเคลื่อนของจิต .. ที่แสดงออกให้เห็นถึงวงจรของชีวิตที่เรียกว่า ไตรวัฏฏะ... ที่มีอวิชชาเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนส่งต่อสืบผล..

ไตรวัฏฏะ หรือ วัฏสงสาร ... จึงเป็นวนเวียนของชีวิตที่แสดงถึงความจริงแท้ว่า ชีวิตคือความทุกข์ และความทุกข์ที่ปรากฏในไตรวัฏฏะเป็นหลักธรรมที่ควรนำมาศึกษา เพื่อการรู้เข้าใจในความเป็นธรรมดาของชีวิตหรือจิตใจ... ว่า แท้จริงคือ ชีวิตหรือจิตใจของเรามีการเผชิญอยู่กับภาวะความบีบเค้นในทุกขณะ ตราบที่ยังอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส บังคับบัญชาให้ดำเนินไปตามวิถี ดังที่เรียกว่า วิถีจิต... โดยเรียกภาวะความบีบเค้นยากจะทนทานได้ดังกล่าวว่า.. ความทุกข์..

ปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะความเป็นจริงของธรรมชาติแห่งจิต คือ ความทุกข์ จึงเกิดขึ้นในทุกชีวิตที่วิถีจิตกำลังดำเนินไป เพื่อให้เราได้สัมผัสถึงธรรมชาติของจิตทุกขณะ .. ที่แสดงความจริงแท้แห่งความเกิด-ความดับ เกิดก็ทุกข์ ดับก็ทุกข์.. เพื่อให้เห็นลักษณะปกติว่า ต้องเป็นเช่นนี้เอง .. ตถตา!!

..แต่ด้วยอำนาจแห่งกิเลสที่สร้างภาวะเศร้าหมองมืดมน ทำให้เราสำคัญผิดไปว่า เราอยู่ในโลกของวัตถุอันยิ่งใหญ่ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว หากเรารู้จักพิจารณาย่อมพบว่า แท้จริงเรายังอยู่ในโลกของจิตใจเหมือนเดิม ... เป็นโลกที่รกรุงรังไปด้วยขยะแห่งความคิดซึ่งมีทั้งดีและเลว..

พุทธศาสนาได้กล่าวสรุปเรื่องดังกล่าวเป็นสัจธรรมว่า.. สิ่งทั้งหลายมีใจถึงก่อน .. มีใจเป็นประธาน .. มีใจเป็นใหญ่ ทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ... ถ้าใจชั่ว คิดก็ชั่ว .. การกระทำ การพูด ก็จักชั่วตาม.. ความทุกข์ก็จะให้ผลตามการกระทำชั่วนั้น .. ในทางตรงข้าม หากใจดี ความคิดก็จะดี การกระทำทางกาย วาจา ก็จะดี .. ให้ผลความดีตอบแทนคืนผู้กระทำนั้น

เราจึงเห็นปรากฏการณ์ในสังคมโลกปัจจุบัน ที่กำลังก้าวเข้าสู่ภาวะความร้อนแรงด้วยอำนาจของกิเลส จนก่อเกิดวิกฤติทางธรรมชาติ ไม่ว่าดินฟ้าอากาศ ฤดูกาล หรือพันธุกรรมแห่งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต ที่ดำเนินไปตามเหตุปัจจัย อันมีมูลเหตุมาจากจิตที่มีลักษณะธรรมกำหนดแน่นอน เรียกว่า จิตนิยาม.. ที่เชื่อมโยงเข้าสู่ระบบธรรมชาติ สัมพันธ์กับทุกมิติที่เกี่ยวข้องในโลกนี้ ภายใต้กฎเกณฑ์กรรมที่เป็นไปตามกรรมนิยาม.. ซึ่งสาธุชนควรศึกษาให้เข้าใจ ก่อเกิดความรู้ นำสู่การพัฒนาอานุภาพของจิตให้สามารถเอาชนะอำนาจกิเลสได้ .. แม้ว่าจะยังชนะไม่เด็ดขาดอย่างพระอริยเจ้าก็ตาม..

การพัฒนาจิตเพื่อสร้างองค์ความรู้ให้เกิดขึ้น จนสามารถเอาชนะความคิดชั่ว ๆ ไร้เหตุผล .. ไร้สารธรรม จึงเป็นการศึกษาเพื่อการพัฒนาชีวิตอย่างยั่งยืน ที่ทุกชีวิตจักต้องให้ความใส่ใจในการเรียนรู้ จะได้ไม่ดำเนินชีวิตไปตามกระแสจนเกิดภาวะสะท้อนถอยหลัง จนยิ่งเดินไปข้างหน้า แต่กลับยิ่งห่างจากจุดหมายปลายทางที่แท้จริงของชีวิตที่พึงปรารถนา.. คือ ความสุขที่แท้จริง อันเกิดจากการมีสติปัญญา สามารถเอาชนะอำนาจฝ่ายต่ำที่ก่อเกิดจากกิเลสได้จริง... การเข้าใจ-เข้าถึง เพื่อพัฒนาการไปสู่จุดมุ่งหมายเพื่อความดับทุกข์นั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ในกระแสโลกที่เชี่ยวกรากด้วยอำนาจกิเลสอย่างในปัจจุบัน แม้จะเป็นเรื่องปกติธรรมดาของทางธรรม... ว่า มันเป็นเช่นนี้ .. เป็นอย่างนี้ ไม่แปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น .. เอวัง ธัมโม !!

เจริญพร