ญี่ปุ่นประกาศใช้ “คน” เป็นศูนย์กลางในการพัฒนา
กว่าที่มหกรรมการแข่งขันกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกจะมาจัดในทวีปเอเชียเป็นครั้งแรกได้นั้นก็ต้องรอถึงปี 1964 ซึ่งเป็นการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 18 ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนอกจากการช่วงชิงความสามารถด้านกีฬาที่ญี่ปุ่นพัฒนาอย่างก้าวกระโดดแล้ว ยังมีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีที่ญี่ปุ่นอาศัยเวทีการแข่งขันโอลิมปิกเป็นช่องทางสำคัญในการประชาสัมพันธ์ให้โลกได้รับรู้
หนึ่งในนั้น คือ ระบบการจับเวลาในการแข่งขันทุกประเภทซึ่งทำให้ทั่วโลกได้รู้จัก “ไซโก้” ในฐานะผู้ผลิตนาฬิกาที่แม่นยำที่สุดเพราะใช้ระบบควอทซ์อันเที่ยงตรงเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลการแข่งขันอย่างเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรกในสมัยนั้น เช่นเดียวกับการถ่ายทอดเป็นภาพสีผ่านดาวเทียมเป็นครั้งแรกในโลกเช่นกัน จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่หลังจากนั้นญี่ปุ่นจะเป็นผู้ครองตลาดโทรทัศน์และเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วโลก พร้อมกันกับการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะด้านคมนาคมครั้งใหญ่ทั่วประเทศ
มาถึงวันนี้ ญี่ปุ่นกำลังเตรียมจัดโอลิมปิกครั้งที่ 32 ซึ่งเวียนกลับมาจัดที่โตเกียวอีกครั้ง นายกรัฐมนตรี ซินโซะ อาเบะ จึงตั้งใจจะใช้โอกาสนี้สร้างประวัติศาสตร์ให้ญี่ปุ่นกลับมายิ่งใหญ่เช่นเดิมด้วยการประกาศนโยบาย Society 5.0 ที่เน้นการนำประเทศเข้าสู่สังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ
ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีที่ครองตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น อาเบะตั้งใจจะใช้นโยบายการเมือง เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในประเทศเช่นเดียวกับ Make America Great Again ของอเมริกา หรือ Industry 4.0 ของเยอรมนี โดยญี่ปุ่นประกาศใช้ “คน” เป็นศูนย์กลางในการพัฒนา
เหตุผลและความจำเป็นข้อแรกในการผลักดันนโยบายดังกล่าวอยู่ที่ความชะงักงันทางเศรษฐกิจที่ญี่ปุ่นประสบมายาวนานหลายสิบปี ซึ่งเราจะได้เห็นมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจมากมายรวมถึงนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบและก็ยังไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ตามที่รัฐบาลคาดหวัง
ข้อที่สองคือโครงสร้างประชากรของญี่ปุ่นที่ขยับเข้าสู่งสังคมผู้สูงวัย โดยประชากรอาวุโสที่มีอายุมากกว่า 65 ปีมีอัตราส่วนสูงถึงกว่า 35% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งประชากรกลุ่มนี้เคยทำงานหนักมาทั้งชีวิตเพื่อจ่ายภาษีให้รัฐบาลแล้วหวังว่าจะได้รับสวัสดิการที่จำเป็นในยามที่เกษียณอายุแล้ว
แต่กลับกลายเป็นว่าประชากรกลุ่มนี้อาจไม่ได้สิทธิตามที่ควรจะเป็นทั้งเงินบำเหน็จบำนาญและการรักษาโรคภัยไข้เจ็บเพราะประชากรรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาช่วยกันสร้างรายได้ให้ประเทศนั้นมีจำนวนน้อยเกินไป ผลที่เกิดขึ้นคือระบบโครงสร้างของสวัสดิการให้ประชากรของประเทศต้องหยุดชะงักเกือบทั้งหมด ต่อเนื่องมาถึงข้อสามคือโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปทำให้จำนวนคนญี่ปุ่นจะหายไปอย่างมหาศาลใน2-3 ทศวรรษหน้า จากปัจจุบันที่มีจำนวนประชากรประมาณ 120 ล้านคนจะปรับลดเหลือเพียง 80-90 ล้านคนเท่านั้น
ทั้งหลายทั้งปวงทำให้เกิดปัจจัยเหตุข้อสี่คือ “คนไม่พอใช้” เพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจ การสร้างนวัตกรรม และการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้ได้ต่อเนื่องนั้น ญี่ปุ่นจำเป็นต้องมีจำนวนประชากรที่มากพอ แต่ในเมื่อประชากรกำลังหดหายไปถึง 30-40 ล้านคน เปรียบเทียบได้กับครึ่งหนึ่งของประชากรไทยจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตไปตามที่รัฐบาลตั้งเป้าเอาไว้
ข้อห้าการลดลงของจำนวนประชากรจะก่อให้เกิดปัญหาใหญ่หลวงกับเมืองในชนบท เพราะประชากรรุ่นใหม่นิยมเข้าอยู่อาศัยและทำงานในเมืองใหญ่โดยเฉพาะในเมืองหลวงเช่นโตเกียวซึ่งปัจจุบันมีประชากรที่มีทะเบียนบ้านอยู่ในเมืองโตเกียวประมาณ 14 ล้านคนแต่ประมาณจำนวนผู้อยู่อาศัยและทำงานทั้งหมดกว่า 20 ล้านคน เมื่อประชากรลดลงจะกระทบกับเมืองขนาดเล็กรอบนอก รวมถึงหัวเมืองขนาดใหญ่บางแห่งที่จะเจอปัญหาประชากรน้อยเกินไป
ปัญหาทั้งหมด ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับญี่ปุ่น แต่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง และกำลังเกิดขึ้นกับหลาย ๆ ประเทศโดยเฉพาะบ้านเราด้วยเช่นกัน