สินค้าจากจีนที่ส่งเข้ามาไม่ได้ส่งมาเป็นชิ้น แต่เขาส่งเข้ามาเป็นกิโล เป็นตัน หรือเรียกว่าเป็น "คิวบิก"
ผมมีโอกาสไปร่วมอยู่บนเวที ที่รวบรวมข้อมูลอีคอมเมิร์ซต่างๆ มาไว้ด้วยกันในงาน “Priceza E-Commerce Summit 2020” ที่ทางไพรซ์ซ่า (Priceza.com) จัดขึ้น นับว่าเป็นงานใหญ่และทางไพรซ์ซ่าเองก็นำข้อมูลที่น่าสนใจหลายอย่างมาเปิดเผยให้ทราบ
ข้อมูลที่ผมคิดว่าน่าสนใจคือในปี 2561-2562 สิ่งที่เห็นได้ชัดเมื่อเปรียบเทียบทั้งสองปีนี้ คือ มีจำนวนสินค้าที่อยู่ในมาร์เก็ตเพลสซึ่งในประเทศไทยเหลือหลักๆ อยู่ประมาณ 3 รายคือ Lazada, Shopee และ JD Central แยกเป็นในปี 2561 มีสินค้าอยู่ในมาร์เก็ตเพลสประมาณ 74 ล้านชิ้น เมื่อถึงปี 2562 จำนวนสินค้าถีบตัวขึ้นมาประมาณ 174 ล้านชิ้น โตขึ้นมาประมาณ 2.4 เท่า หรือเกือบประมาณ 240% จะเห็นได้ว่าจำนวนสินค้าเพิ่มขึ้นมาอย่างมหาศาลเลยทีเดียว
เมื่อมาดูต่อว่าคู่ค้าในไทยนั้นมีทั้งหมดประมาณ 1 ล้านคน ในขณะที่คู่ค้าที่มาจากต่างประเทศซึ่งโฟกัสไปที่ว่ามาจากจีนประมาณ 81,000 คน จากตัวเลขผู้ค้าที่มาจากจีน 81,000 คนนี้ ผมอยากให้สังเกตที่ว่าเขาบริหารสินค้าที่มีประมาณถึง 100 กว่าล้านชิ้น ในขณะที่คนไทย 1 ล้านคนบริหารสินค้าได้เพียงแค่ 39 ล้านชิ้นเท่านั้น
เมื่อเปรียบเทียบไปที่จำนวนสินค้ากับจำนวนคน ข้อมูลดังกล่าวเห็นได้ชัดว่า ตอนนี้ผู้ประกอบการจากต่างประเทศเข้ามามากขึ้น สินค้าจากต่างประเทศก็เริ่มทะลักมามากขึ้นเรื่อยๆ
จุดที่น่าสนใจหนึ่งที่ผมเห็นก็คือ ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลเฉพาะสินค้าที่ขายได้ผ่านไพรซ์ซ่า คือใน 100% ที่เกิดขึ้นนั้น 86% เป็นการซื้อสินค้าจาก Local หรือภายในประเทศ ส่วนอีก 14% เป็นการซื้อสินค้าจากต่างประเทศ
ในส่วนของราคาสินค้าเฉลี่ยต่อออเดอร์นั้น สินค้าในประเทศชิ้นหนึ่งราคาเฉลี่ยประมาณ 738 บาท ในขณะที่สินค้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะเราพูดถึง “จีน” ชิ้นหนึ่งราคาเฉลี่ยประมาณ 350 บาท จะเห็นว่าราคาเป็นครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว นั่นหมายถึงว่า สินค้าจากต่างประเทศมีราคาที่ถูกกว่าและยังมาจากต่างประเทศด้วย ตรงนี้เองสะท้อนถึงเรื่องของการขนส่งที่มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นด้วย
การซื้อสินค้าจากจีนหากเปรียบเทียบกันระหว่างเดือน มิ.ย.กับเดือน พ.ย. ในเดือนมิ.ย.จะซื้อสินค้าในราคา 99 บาท ใช้เวลาส่งประมาณ 12 วัน แต่เมื่อมาถึงเดือน พ.ย.ซื้อสินค้าแบบเดียวกันแต่ใช้เวลาเพียงแค่ 6 วัน ซึ่งจะเห็นว่าการขนส่งเร็วขึ้นมาก
เมื่อไม่นานมานี้ ผมมีโอกาสพูดคุยกับบริษัทขนส่ง จึงเริ่มเข้าใจว่า ทำไมสินค้าจีนถึงส่งเข้ามาในราคาถูกมาก นั่นเพราะเขาใช้วิธีการ bounce คือ ปกติเราส่งสินค้าต้นทุนเฉลี่ยต่อชิ้นอาจจะเป็น 30-50 บาท แต่สินค้าจากจีนที่ส่งเข้ามา ไม่ได้ส่งเป็นชิ้น เขาส่งเข้ามาเป็นกิโลเป็นตันหรือเรียกว่าเป็นคิวบิก เช่น 1 คิวบิกอาจจะราคา 2,000 บาท แต่ใน 1 คิวบิกนี้อาจจะอัดเข้ามาเป็นพันชิ้น และเมื่อหารเฉลี่ยออกมาต่อชิ้นก็จะถูกมาก อาจจะเหลือแค่ 2-3 บาทด้วยซ้ำ
ตอนที่ส่งเข้ามาเป็นคิวบิกใหญ่ๆ เมื่อมาถึงไทย ก็นำมาแยกออกเป็นชิ้นเล็กๆ และจะมีคนคอยกระจายออกไปเป็นชิ้น ตรงนี้จะมีค่าส่งอีกทีหนึ่งอาจจะราคา 10-20 บาทก็แล้วแต่ ดังนั้นบางครั้งการส่งสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาในไทยจะถูกกว่าการส่งในไทยเองด้วยซ้ำ และหากมาดูในเรื่องอีอีซี หรือแวร์เฮ้าส์ขนาดใหญ่ของอาลีบาบา ในแง่ของต้นทุนก็จะเร็วขึ้นและราคาก็จะถูกลงมากขึ้นด้วย
ขณะเดียวกัน พบว่า สินค้าจากต่างประเทศหากแยกเป็นหมวดหมู่ โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ปีนี้ สินค้าไทยโดนสินค้าจากต่างประเทศเบียดเข้ามาเยอะ หมวดหมู่แรกที่โดนหนักมาก คือ พวกเสื้อผ้าผู้ชาย (Men's Tools & Clothing) หมวดหมู่ที่สองคือ Mobile & Gadget หมวดหมู่ที่สาม (ซึ่งคล้ายๆ กับปีที่แล้ว) คือ อุปกรณ์กีฬา (Sport & Outdoor) บอกได้เลยว่า ตอนนี้คนนิยมซื้อสินค้าเหล่านี้ทางออนไลน์กันมาก หมวดหมู่เหล่านี้สินค้าจีนกินเข้ามาแล้วประมาณ 80%
แต่ในหมวดหมู่ที่สินค้าไทยยังยึดครองหรือยังมีอำนาจอยู่ คือ พวกอาหาร ซึ่งแน่นอนสินค้าต่างประเทศหรือจากจีนไม่มี อย. จึงถือว่ายังเป็นข้อจำกัดหรือเป็นการป้องกันสินค้าจากต่างประเทศให้เข้ามาได้ลำบากสักหน่อย หมวดหมู่ที่สองคือ Health & Wellness พวกอาหารเสริม สุขภาพและความงาม
หมวดหมู่ที่สามที่ผมคิดว่าคนไทยมีความได้เปรียบ คือ Ticket & Voucher ที่ต่างชาติยังบุกเข้ามาไม่ได้ และข้อดีของหมวดหมู่นี้มีต้นทุนที่ต่ำมาก ตอนนี้มาร์เก็ตเพลสก็เริ่มขายพวกนี้ คนที่ทำธุรกิจอยู่แล้วอาจไม่ต้องมานั่งส่งของ แค่ปรับธุรกิจให้ตัวเองเป็นบริการ มาเป็น Voucher แบบนี้ก็ได้ แถมข้อดีอีกอย่าง คือ เป็นการขายล่วงหน้า แต่ก็ต้องระมัดระวังเรื่องของธุรกิจที่หลอกลวงด้วยเช่นกัน
จะเห็นว่าตัวเลขในปีนี้ก็ค่อนข้างสอดคล้องกับข้อมูลที่ผมเคยให้ไปบ้างแล้ว อย่างไรก็ตามหวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยทุกท่านที่ทำธุรกิจอยู่สามารถมองเห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น รีบปรับตัวเองให้ทันเวลา และสามารถนำธุรกิจเดินต่อไปได้ครับ