ข้อตกลงจีน-สหรัฐฯ ยกแรก

ข้อตกลงจีน-สหรัฐฯ ยกแรก

เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ทางการสหรัฐฯและจีนได้แถลงข่าวยืนยันว่า ทั้ง 2 ฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงการค้ายกแรก หรือที่เรียกว่า Phase 1 เรียบร้อยแล้ว

แต่จากนี้ไปยังต้องผ่านขั้นตอนการขัดเกลาถ้อยคำของข้อตกลง ก่อนที่จะนำไปสู่การลงนามอย่างเป็นทางการต่อไปในช่วงสิ้นปีหรือต้นเดือน ม.ค.

เรามาลองดูกันในเบื้องต้นครับว่า ในรอบนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงอะไรกันบ้าง จากนั้นผมจะวิเคราะห์ว่า ดีลครั้งนี้มีความน่าสนใจอย่างไร

 สิ่งสำคัญที่สหรัฐฯยอมจีน ก็คือการยกเลิกการขึ้นภาษีสินค้ามูลค่า 1.6 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งแต่เดิมเคยขู่ไว้ว่าจะขึ้นในวันที่ 15 ธ.ค. ตอนนี้สหรัฐได้ประกาศยกเลิกไปแล้ว

แต่เดิมหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า การที่ทรัมป์ออกมาขู่ก่อนหน้านี้ว่าจะขึ้นภาษีสินค้ารอบ 15 ธ.ค. จริงๆ ก็น่าจะเป็นการขู่เพื่อเพิ่มไพ่ในการต่อรอง มากกว่าจะคิดขึ้นภาษีจริงๆ ดังที่ขู่ไว้ เพราะภาษีรอบนี้ถ้าขึ้นจริงจะเริ่มกระทบสินค้าผู้บริโภคโดยตรง ตั้งแต่โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ ของเล่น นาฬิกา รองเท้า เรียกว่าถ้าขึ้นจริง ผู้บริโภคสหรัฐฯ เองก็คงจุก ซึ่งสุดท้ายแล้วทรัมป์ก็เลิกขึ้นภาษีสินค้าเหล่านี้จริงๆ

ก่อนหน้านี้ในการเจรจา จีนยืนยันตลอดว่าถ้าสหรัฐฯ ให้จีนเพียงแค่นี้ คือแค่เลิกขึ้นภาษีรอบใหม่ที่ขู่ไว้ จีนถือว่าไม่พอ โดยจีนมองว่าสหรัฐฯ จะต้องเริ่มยกเลิกภาษีรอบก่อนๆ ที่เคยขึ้นมาแล้วด้วย สิ่งที่สหรัฐฯ ยอมจีนใน Phase 1 เพิ่มเติมก็คือ ปรับลดภาษีให้จีนในสินค้ามูลค่า 1.2 แสนล้านดอลลาร์ ที่เคยขึ้นภาษีจีนไปเมื่อวันที่ 1 ก.ย.2562 โดยจากเดิมที่คิดภาษี 15% สหรัฐฯ ปรับลดให้ครึ่งหนึ่งเหลือ 7.5%

ที่ต้องย้ำเน้นก็คือ สหรัฐฯ ยังคงอัตราภาษี 25% สำหรับสินค้ามูลค่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์ และสำหรับภาษีก้อนนี้ก็คือสิ่งที่สหรัฐฯ และจีนยังจะต้องเจรจารอบ 2 และรอบ 3 (Phase 2 and Phase 3) กันต่อไปในปีหน้า

ส่วนสิ่งที่ทางจีนยอมสหรัฐฯ ใน Phase 1 อย่างแรกเลยที่จีนยืนยันมาตลอดว่าจีนยินดีจะให้ ก็คือการซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มเติม โดยทางการสหรัฐฯ แถลงว่าจีนจะซื้อสินค้าจากสหรัฐมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ ในเวลา 2 ปี ต่อจากนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสินค้าเกษตร เช่น ถั่วเหลืองและเนื้อหมู

การซื้อสินค้าเกษตรเหล่านี้จริงๆ ก็ตอบโจทย์ภายในของจีนเองด้วย เพราะตอนนี้จีนมีวิกฤตเนื้อหมูแพง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโรคระบาดในหมู อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะจีนขึ้นภาษีนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ และส่วนสำคัญยังเป็นเพราะจีนขึ้นภาษีถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ด้วย เพราะจริงๆ แล้วถั่วเหลืองเป็นอาหารเลี้ยงหมูด้วย ดังนั้น ถั่วเหลืองแพงขึ้น ต้นทุนการเลี้ยงหมูก็แพงตาม

แต่สหรัฐฯ ยืนยันมาตลอดในการเจรจาก่อนหน้านี้ว่าข้อตกลงกับจีนจะต้องได้มากกว่าคำมั่นว่าจีนจะซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น แต่จะต้องมีข้อตกลงครอบคลุมในเรื่องพฤติกรรมการค้าของจีนและกลไกเศรษฐกิจที่มีเอกลักษณ์ของจีนด้วย

ซึ่งสหรัฐฯ ได้แถลงว่าข้อตกลงครั้งนี้จะมีรายละเอียดเรื่องการที่จีนยอมเปิดภาคบริการและการเงินให้แก่ธุรกิจต่างชาติ การแก้ไขกฎหมายของจีนที่เกี่ยวข้องกับการบังคับถ่ายทอดเทคโนโลยี การยกเลิกนโยบายส่งเสริมให้บริษัทจีนบุกซื้อบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ และการเลิกใช้นโยบายค่าเงินที่สร้างความได้เปรียบทางการค้า

ฟังดูดีไหมครับ อย่างไรก็ตาม ผมมีข้อสังเกตเกี่ยวกับดีล Phase 1 ดังนี้ครับ

หนึ่ง มีคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการบังคับให้จีนทำตามข้อตกลง ซึ่งเราคงต้องรอดูรายละเอียดในข้อตกลงฉบับเต็มเมื่อมีการลงนามว่าได้มีการวางกลไกในการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลงอย่างไรบ้าง

ในการแถลงของสหรัฐฯ ได้เน้นว่าข้อตกลงนี้จะเป็นข้อตกลงที่สามารถบังคับได้ (enforceable) แต่มีนักวิเคราะห์ในสหรัฐฯ หลายคนที่ตั้งข้อสงสัย เช่น ตัวเลขว่าจีนจะซื้อสินค้ามูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์นั้นจะเป็นไปได้อย่างไร ถึงจีนอยากซื้อ แต่สหรัฐฯ ก็ไม่มีความสามารถที่จะผลิตสินค้าเกษตรหรือสินค้าอื่นที่จีนต้องการในปริมาณเท่ามูลค่าขนาดนั้น นี่ดูเหมือนเป็นตัวเลขเอาไว้ให้ทรัมป์โฆษณาหาเสียงเท่ๆ แต่สุดท้ายทำไม่ได้จริง เหมือนการโฆษณาชวนเชื่อของทรัมป์ในเรื่องอื่นๆ

พอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังของสหรัฐฯ เปรียบเทียบกับข้อตกลงของทรัมป์กับเกาหลีเหนือก่อนหน้านี้ ที่ตอนแรกดูยิ่งใหญ่เหลือเกิน แต่ตอนหลังก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง เหมือนกับคิมจองอึนหลอกทรัมป์เล่น และพร้อมจะเดินถอยหลังให้กับข้อตกลงที่แรกดูสุดแสนจะสวยหรู

สอง ตอนนี้ทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีความต้องการจะสงบศึกสงครามการค้าชั่วคราว เป็นเหมือนของขวัญปีใหม่ ทำให้บรรยากาศเศรษฐกิจดีขึ้นทันที สำหรับทรัมป์เป็นประโยชน์ในการหาเสียง ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปีเลือกตั้ง ช่วยเกษตรกรที่เป็นฐานเสียงสำคัญ และช่วยให้มีข่าวดีท่ามกลางกระแสการถอดถอนทรัมป์ในสหรัฐฯ ส่วนสิ่งที่สหรัฐฯ ยอมเสียใน Phase 1 เอาจริงคือแทบไม่เสียอะไรเลย หลักๆ ก็คือ การเลิกคำขู่ขึ้นภาษีรอบใหม่ที่ตอนแรกก็ไม่น่าจะคิดจะขึ้นจริงอยู่แล้ว

ส่วนจีนเองตอนนี้เศรษฐกิจขาลง บรรยากาศเศรษฐกิจไม่ดี เคราะห์ซ้ำข้าวยากหมากแพง จากปัญหาราคาหมู การรับปากจะซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ จึงตอบโจทย์ภายในของจีนเองด้วย การสงบศึกชั่วคราวจึงช่วยให้บรรยากาศเศรษฐกิจดีขึ้นทันที ส่วนเรื่องใหญ่ๆ ที่เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจก็มีทั้งสิ่งที่จีนควรทำอยู่แล้ว แล้วจะได้ใช้กระแสกดดันจากภายนอกช่วยขับเคลื่อนการปฏิรูปภายใน ส่วนสิ่งที่จีนไม่อยากทำและไม่คิดทำ ก็รับปากซื้อเวลาว่าจะพยายามทำไปก่อน

ใครอย่าคิดว่าสงครามการค้ายุติลงแล้วนะครับ เพราะนี่เป็นเพียงการพักรบชั่วคราว การเจรจา Phase 2 และ Phase 3 คงจะหินมากกว่านี้หลายเท่า เพราะหัวข้อการเจรจาอย่างเรื่องการอุดหนุนรัฐวิสาหกิจและเอกชนของรัฐบาลจีน เป็นเรื่องใหญ่โตกว่าที่จีนตกลงใน Phase 1 มากมายนัก

และแม้ข้อตกลง Phase 1 เอง เอาเข้าจริงทั้งสองฝ่ายก็อาจฉีกได้ทุกเมื่อ หากสถานการณ์ภายในประเทศของตนฟื้นฟูดีขึ้น อย่าลืมนะครับว่าเราอยู่ในยุคที่ผู้นำสหรัฐฯ มีลูกบ้าเพียบอย่างทรัมป์ จึงไม่แปลกที่วันดีขึ้นดีจะมีทวีตด่าว่าจีนไม่เคารพสัญญาจนทรัมป์กลับมาลั่นกลองรบใหม่ ในขณะเดียวกัน นี่ก็เป็นยุคที่จีนเองก็พร้อมปั่นกระแสชาตินิยมลุกขึ้นฉีกสัญญาไม่เป็นธรรมตบหน้าฝรั่งได้ทุกเมื่อเหมือนกัน